เรื่องจิมิกับกลิ่น สิ่งที่สาวๆ หลายกังวล แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ บางทีอาจเป็นเพราะฮอร์โมนเปลี่ยน อยู่ระหว่างช่วงเป็นประจำเดือน ที่ไม่นานก็จะหายไปเอง บางครั้งก็เป็นกลิ่นที่มาจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมได้ เชื่อว่าทุกคนก็คงไม่อยากให้กลิ่นเกิดขึ้นกับตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นเราก็สามารถป้องกันที่ต้นเหตุได้ ซึ่งมีสาเหตุหลักๆ มาจากเหงื่อ การหมักหมม อาหารการกิน รวมถึงวิธีดูแลสุขภาพของสาวๆ โดยตรง แถมบางครั้งกลิ่นก็เป็นการเตือนจากร่างกายว่าสุขภาพภายในของเราอาจเริ่มมีปัญหาแล้วได้ด้วย ถ้าไม่อยากพลาดการดูแลและวิธีรักษาให้น้องสาวไม่มีกลิ่นเหม็น ต้องอ่านบทความนี้เลย
วิธีที่ 1 อ่อนโยนกับน้องสาว
สิ่งแรกเลยที่ทุกคนอาจลืมคำนึงถึงไปก็คือการดูแลน้องสาวอย่างอ่อนโยนค่ะ เพราะอย่างที่รู้ว่าเขาคือจุดซ่อนเร้น เป็นส่วนที่บอบบางที่สุด ด้วยสรีระแล้วทำให้ถ้าโดนกระทบกระเทือนหน่อยก็อาจส่งผลได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้น แต่อาจทำให้ภายในทำงานผิดปกติได้ด้วยค่ะ ซึ่งมีผลตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันเลย อย่างการใช้ที่ฉีดก้นล้างน้อวสาวแรงๆ ก็ไม่ควร เพราะแรงดันน้ำจะทำให้เขาบอบช้ำได้ นอกจากนี้กีฬาและกิจกรรมที่ extreme มากๆ ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า ขี่จักรยานนานเกินไป หรือออกกำลังกายหนักๆ ทุกวัน ก็ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ถึงขั้นทำให้มีลูกยากได้เลย ไม่เพียงแต่กระทบเฉพาะแค่เรื่องกลิ่นเท่านั้นค่ะ
วิธีที่ 2 เลือกกินอาหารให้ดี
กินอะไรก็ได้แบบนั้น วลีนี้ไม่เกินจริง เพราะสาเหตุของกลิ่นน้องสาวก็มีต้นตอเหมือนกับเวลาเรามีกลิ่นปากค่ะ ซึ่งหลักๆ ก็จะมาจากอาหารที่มีกลิ่นฉุนอย่างกระเทียม หัวหอม แกงกะหรี่ อาหารหมักดอง (ปูเค็ม ปลาร้า ถั่วหมัก ผลไม้ดองต่างๆ) อาหารรสจัด ซีฟู้ด ของหวาน รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ เพราะอาหารบางประเภทที่ยกตัวอย่างมาเขามีผลกับความสมดุลของร่างกาย หรืออาจไปทำลายแบคทีเรียที่ดีในส่วนของจุดซ่อนเร้น จนเกิดกลิ่นไม่ปกติขึ้นได้ แต่ก็มีอาหารบางประเภทที่ช่วยลดกลิ่นได้ดีถ้ากินเป็นประจำ เช่น โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เพราะมีแลคโตบาซิลลัสซึ่งเป็นแบคทีเรียดีสะสมอยู่เยอะค่ะ ตัวนี้ก็จะไปช่วยฆ่าเชื้อต้นเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย
วิธีที่ 3 รักษาความสะอาด
ความสะอาดก็เป็นต้นเหตุสำคัญของกลิ่น การล้างน้องสาวเวลาอาบน้ำและหลังปัสสาวะด้วยน้ำสะอาดหรือทิชชู่เปียกเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นนิสัยค่ะ แต่ที่อยากเสริมก็จะเป็นเรื่องความอับชื้นด้วย แนะนำให้ทุกคนควรจะซับน้องสาวให้แห้งด้วยทิชชู่เพื่อป้องกันความอับชื้นค่ะ และให้เช็ดจากด้านหน้าออกไปหาก้นนะคะ ห้ามเช็ดย้อนเข้ามาเพราะด้านหลังอาจสกปรกกว่านั่นเอง ยิ่งถ้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะก็ต้องเช็ดทำความสะอาดฝารองชักโครกหรือหาผ้ามาปูรองก่อนนั่ง เพราะอาจมีสิ่งสกปรกติดอยู่ก่อนเราเข้าไปใช้ได้
วิธีที่ 4 ล้างน้องสาวให้กลิ่นเซย์กู้ดบาย
หลายคนอาจยังมีความเข้าใจผิดในการทำความสะอาดน้องสาวอยู่ว่าต้องทำทั่วทุกบริเวณ บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องค่ะ สาวๆ ควรล้างเฉพาะภายนอกเท่านั้น จะล้างด้วยน้ำเปล่าหรือใช้ผลิตภัณฑ์จุดซ่อนเร้นก็ได้ (แต่ต้องมั่นใจว่าโปรดักส์ที่นำมาใช้นั้นอ่อนโยน ได้มาตรฐาน) ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์จุดซ่อนเร้นมากเกินไปค่ะ เพราะสามารถไปทำลายความสมดุลของแบคทีเรียชนิดดี ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้นและมีกลิ่นได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ห้ามทำเลยจริงๆ ก็คือการสวนล้างในช่องคลอด ซึ่งเสี่ยงต่อการอักเสบและยังปรับค่ากรด-ด่างให้ผิดเพี้ยนไป พร้อมกับความเจ็บแสบที่พาเอาใช้ชีวิตลำบากขึ้นอีกด้วย
วิธีที่ 5 ใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม
กางเกงรัดรูปหรือยีนส์ขาเดปที่แนบชิดเป้ามากเกินพอดี ก็เป็นต้นเหตุของความอับชื้นและกลิ่นเหม็นได้ค่ะ เพราะเวลาเหงื่อออกก็จะยิ่งหมักหมมได้ง่าย ยิ่งถ้าเหงื่อออกมากๆ ร่วมด้วยแล้ว มีโอกาสสะสมแบคทีเรียและติดเชื้อได้เลย แต่ถ้าเปลี่ยนมาใส่กระโปรงเขาก็จะช่วยให้มีอากาศถ่ายเท ให้น้องสาวได้หายใจหายคอสะดวกขึ้นเลย นอกจากนี้ก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดก่อนใส่ โดยเฉพาะกางเกงใน ตากให้แห้งก่อนเสมอ ไม่ใส่ซ้ำ จะยิ่งดีมากขึ้นถ้าเลือกตัวที่ตัดเย็บด้วยผ้าคุณภาพดีค่ะ และหากอยู่บ้านหรือตอนกลางคืนเวลานอน จะเลือกไม่ใส่กางเกงในเพื่อให้ระบายอากาศก็สามารถทำได้ค่ะ
วิธีที่ 6 เลี่ยงแผ่นอนามัยหรือเปลี่ยนบ่อยๆ
ใครที่ไม่เคยใส่แผ่นอนามัย ให้ลองจินตนาการถึงตอนเราใส่ผ้าอนามัยค่ะ ขนาดไม่กี่ชั่วโมงก็รู้สึกอับชื้นแล้ว แต่แผ่นอนามัยบางครั้งก็มีตกขาวออกมาซึ่งไม่เยอะเท่าประจำเดือน ทำให้บางทีที่ใส่ หลายคนอาจจะลืมตัวแล้วทิ้งไว้นานโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแผ่นได้ พอหมักหมมนานก็มีโอกาสติดเชื้อและมีกลิ่นนั่นเอง ถ้าเลือกได้ก็อาจไม่จำเป็นต้องใส่ หรือถ้าใครอยากใส่ ห้ามลืมเปลี่ยนระหว่างวันโดยเด็ดขาดค่ะ อย่างน้อยทุก 2 – 3 ชั่วโมง สามารถเปลี่ยนได้เลย
วิธีที่ 7 ไว้ขนน้องสาว ช่วยลดกลิ่นได้
หลายคนอาจตกใจว่าไม่มีขนก็ควรจะช่วยลดกลิ่นอับได้สิ แต่ขอบอกเลยว่าขนจิมิของเรานั้นมีประโยชน์ค่ะ เขาสามารถปกป้องจุดซ่อนเร้นไม่ให้มีสิ่งสกปรกสะสม หรือขวางทางแบคทีเรียไม่ให้เข้าไปสู่ในช่องคลอดแล้วติดเชื้อได้ เพราะฉะนั้นเลยไม่จำเป็นต้องโกนขนออกจนหมด แต่ควรเล็มให้สวยงาม ไม่รกรุงรังจนเกินไปเท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
วิธีที่ 8 ใช้ผลิตภัณฑ์ลดกลิ่น
ถ้าถึงจุดที่คิดว่าต้นเหตุของกลิ่นมาจากภายในจริงๆ การเลือกผลิตภัณฑ์ช่วยลดกลิ่นมาใช้ก็ช่วยได้ค่ะ ควรเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีส่วนผสมและค่า pH ที่สมดุลอ่อนโยนกับน้องสาว ที่สำคัญต้องมีใบรับรองจากทางการแพทย์ว่าได้มาตรฐานและไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ยิ่งเดี๋ยวนี้หลายตัวเขาก็เข้าไปแก้ปัญหาเรื่องแบคทีเรีย ลดตกขาวโดยตรงด้วยค่ะ และมีให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งเนื้อเซรั่ม เนื้อครีม แม้แต่มาสก์ก็มี แนะนำให้เลือกเนื้อสัมผัสที่บางเบาหน่อย ให้เขาซึมง่าย เข้าไปแก้ปัญหาตรงจุด อันนี้ก็จะยิ่งตอบโจทย์เลย
วิธีที่ 9 ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องนานเกินไป
ยาปฏิชีวนะสามารถทำลายแบคทีเรียดีที่จุดซ่อนเร้นต้องการอย่างแลคโตบาซิลลัสได้ค่ะ ซึ่งปกติแล้วแบคทีเรียชนิดนี้เขาจะช่วยฆ่าเชื้อในช่องคลอดได้ เมื่อร่างกายทำลายไปจนหมด ช่องคลอดก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น อันเป็นสาเหตุให้กลิ่นเกิดขึ้นมาได้นั่นเอง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ หรือปรึกษาแพทย์เสมอเพื่อให้ใช้อย่างถูกต้องและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ
วิธีที่ 10 พบแพทย์เพื่อตรวจภายใน
นอกจากการใช้ชีวิต การดูแลความสะอาด อาหารการกินแล้ว ต้นเหตุของกลิ่นยังมาจากสุขภาพภายในระบบสืบพันธุ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ หรือโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยค่ะ การที่พบแพทย์เพื่อตรวจภายในเป็นประจำทุกปีก็จะได้รู้สาเหตุโดยตรง และหาวิธีรักษาได้ เพราะกลิ่นแต่ละแบบก็มาจากสาเหตุคนละแบบ ซึ่งมีวิธีแก้ต่างกันนั่นเอง รวมถึงใครที่น้องสาวไร้กลิ่นอยู่แล้ว ถ้าได้ไปตรวจภายในเป็นประจำไว้ก่อน ก็สามารถรู้สุขภาพของตัวเองและป้องกันได้ทันก่อนน้องสาวมีกลิ่นด้วยค่ะ
สรุป
ทั้ง 10 วิธีที่เราเอามาฝากกัน ถ้าได้ลองทำตามก็เชื่อว่าทุกคนจะมีสุขภาพจิมิที่ดี ปราศจากกลิ่นกันได้ค่ะ แต่ก็ต้องบอกว่าจุดซ่อนเร้นเองก็มีกลิ่นเฉพาะตัวอยู่แล้ว ถ้าจะหวังให้มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำหอมก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ และกลิ่นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย ค่อยๆ ทำความรู้จัก สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเขาไปเรื่อยๆ เราก็จะพอรู้ได้ค่ะว่านี่คือกลิ่นปกติหรือเริ่มตุๆ สมควรแก่การรักษาแล้ว แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ไปพบแพทย์เลยจะเชื่อถือได้ที่สุดค่ะ
ที่มา sanook, cosmenet, poalohospital, mgronline