คอลลาเจน เทรนด์อาหารผิวของคนยุคนี้ เชื่อว่าสาวๆ ก็คงพอได้ยินความดีงามของคอลลาเจนมาบ้างแล้วตามที่แบรนด์ต่างๆ โปรโมท แต่รู้รึเปล่าว่าจริงๆ แล้วประโยชน์ของคอลลาเจนยังมีมากกว่าที่คิด ซึ่งจะเห็นผลได้ต้องมีการกินที่ถูกวิธี วันนี้เราเลยมาแชร์ 10 ประโยชน์ของคอลลาเจนเน้นๆ พร้อมวิธีกินอย่างมีประสิทธิภาพ อยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ต้องตามมาดูกันเลยค่ะ
ประโยชน์ของคอลลาเจน
- ลดเลือนริ้วรอย ช่วยกระชับผิวได้ดี
ด้วยความที่คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวที่ทำให้โครงสร้างผิวสมบูรณ์ ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ อยากให้ลองคิดว่าผิวของเราคือบ้านหลังหนึ่ง ตัวคอลลาเจนมีหน้าที่เป็นเสาบ้านที่ยึดโครงสร้างทุกส่วนไว้ให้ไม่พังทลาย แต่หากวันไหนที่เสาบ้านพังหรือหายไป หลังคาและเพดานจะถล่มตัวตามลงมา เช่นเดียวกันกับผิวของเราค่ะ เมื่อไม่มีคอลลาเจนที่คอยยึดไว้ ชั้นผิวไว้ก็จะเกิดความหย่อนคล้อย ทำให้เป็นริ้วรอยร่องแก้มต่างๆ ได้ ดังนั้นการเสริมคอลลาเจนก็จะช่วยเติมเต็มชั้นผิวให้กระชับเต่งตึงตามที่ควรจะเป็นนั่นเอง
- เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
พูดถึงเรื่องเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทุกคนอาจจะนึกถึงพวกสารกลีเซอรีนหรือกรดไฮยาลูรอนมาเป็นอันดับแรก แต่ก็ต้องบอกว่าคอลลาเจนเองก็มีส่วนสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นในผิวนะคะ เพราะตามที่บอกไปในข้อแรกแล้วว่า คอลลาเจนมีหน้าที่ยึดโครงสร้างผิวเข้าด้วยกัน ซึ่งเมื่อโครงสร้างที่ว่านี้อยู่ในสภาพดี ก็จะส่งผลให้ผิวเกิดความสมดุล ทำงานได้อย่างเป็นระบบ และผลิตความชุ่มชื้นออกมาใด้ในปริมาณพอเหมาะนั่นเอง ถึงคอลลาเจนจะไม่ได้เข้าไปเติมความชุ่มชื้นโดยตรง แต่ถ้าขาดไปทีนึง สามารถส่งผลกระทบเป็นโดมิโนได้เลยทีเดียว
- ลดการเกิดสิว
พอคอลลาเจนช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและสร้างความชุ่มชื้นได้ระดับพอเหมาะแล้ว ก็จะทำให้สภาพผิวโดยรวมดีขึ้น และลดโอกาสการเกิดสิวได้ค่ะ แต่จะเป็นเพียงการเสริมความแข็งแรงนะคะ ถ้าใครที่มีสิวขึ้นแล้วกินคอลลาเจนเพื่อหวังรักษาสิว อาจจะไม่เห็นผลตรงนี้ค่ะ
- เพิ่มความกระจ่างใส ป้องกันการเกิดฝ้า กระ
ปัญหาฝ้า กระ ความหมองคล้ำ เกิดมาจากร่างกายเจอแสงอาทิตย์ที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นมาบริเวณชั้นหนังกำพร้าบนผิวของเราค่ะ ซึ่งถ้าเป็นหนักๆ ก็สามารถกลายเป็นฝ้าลึกที่ฝังอยู่ในชั้นหนังแท้ได้เลย แต่เมื่อมีการเสริมคอลลาเจนเข้าไป เขาก็จะช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน แล้วชะลอการเกิดฝ้า กระ รวมทั้งคงความกระจ่างใสของผิวเราได้ค่ะ ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ คอลลาเจนเขายังสามารถสร้างเกราะกำบังให้ผิวหน้าเราสู้แสง UV ได้ดียิ่งขึ้นด้วย
- ชะลอการสลายตัวของกระดูก
นอกจากคอลลาเจนจะอยู่ในชั้นผิวหนังแล้ว ก็ยังเป็นส่วนประกอบในกระดูกด้วยค่ะ โดยคอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นเสาในการยึดส่วนต่างๆ รวมทั้งกระตุ้นให้แคลเซียมผสานตัวเข้าด้วยกัน ทำให้กระดูกเป็นรูปทรงตามที่ควร เช่นเดียวกับที่ทำในผิวหนังเลย เพราะฉะนั้นถึงแม้จะกินแคลเซียมแต่หากขาดคอลลาเจนไป กระดูกก็ไม่สามารถสร้างตัวได้ คอลลาเจนจึงเป็นสิ่งที่ทำให้กระดูกแข็งแรง และช่วยลดกระดูกพรุนได้ด้วยนั่นเอง
- เสริมความแข็งแรงของข้อต่อ
คอลลาเจนยังแทรกอยู่ตามข้อต่อกระดูกถึง 50% และทำหน้าที่เหมือนหมอนที่รองรับการกระแทกระหว่างกระดูกแต่ละชิ้น เช่น ข้อต่อ ข้อเข่าต่างๆ ถ้าคอลลาเจนเสื่อมสภาพก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดตามข้อได้ค่ะ ซึ่งจากงานวิจัยที่ทดลองให้นักกีฬาที่กินคอลลาเจนต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน พบว่ามีอาการปวดข้อลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กินอีกด้วย
- บำรุงเล็บ
เล็บเองก็มีส่วนประกอบเช่นเดียวกันกับกระดูกค่ะ การที่กินคอลลาเจนเข้าไป ความแข็งแรงของเล็บก็จะเพิ่มมากขึ้น ลดการเปราะแตกง่าย รวมทั้งยังมีวิจัยที่ให้ผู้หญิงวัย 20 - 50 ปี ที่กินคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง 6 เดือน แล้วพบว่าช่วยเรื่องการงอกของเล็บได้ 12% แถมลดอาการเปราะหักได้ถึง 42% เลยทีเดียวค่ะ
- ช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรง
ในเส้นผมของเรามีเคราตินที่ทำให้ผมแข็งแรง ซึ่งเจ้าเคราตินก็จะประกอบด้วยกรดอะมิโนอีกทีหนึ่งค่ะ การเติมคอลลาเจนซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนเข้าไป ก็จะสามารถทำให้ร่างกายรับเอาโปรตีนส่วนนี้ไปดูดซึมกลายเป็นสารอาหารในการสร้างเครติน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผมได้ค่ะ
- กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
ด้วยความที่คอลลาเจนเป็นโครงสร้างที่อยู่ในผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งมีหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกที การที่หลอดเลือดแข็งแรงก็จะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้นค่ะ
- สมานแผลและช่วยสร้างเนื้อเยื่อ
คอลลาเจนยังมีประโยชน์ในการสร้างเซลล์ ซึ่งจะเกิดเป็นเนื้อเยื่อใหม่ได้อีกด้วย อย่างที่จะเห็นในผู้สูงวัยที่เมื่อเป็นแผลแล้วหายช้ากว่าเด็กหรือวัยรุ่น นั่นก็เป็นเพราะขาดคอลลาเจนที่กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อนั่นเอง เพราะฉะนั้นการกินคอลลาเจนก็จะไปช่วยให้ร่างกายสมานแผลได้ไวขึ้นได้ค่ะ
กินคอลลาเจนอย่างไรให้เห็นผล
จาก 10 ประโยชน์ของคอลลาเจนที่เราอธิบายไปก็จะเห็นว่ามีหลากหลายและเป็นประโยชน์กับร่างกายมากเลยใช่ไหมคะ แต่การที่ร่างกายจะรับคอลลาเจนแล้วไปเสริมสร้างส่วนต่างๆ ให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุดก็ต้องได้รับคอลลาเจนอย่างถูกวิธี ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการกินให้ถูกต้องตามนี้ค่ะ
-เลือกประเภทคอลลาเจนที่ดูดซึมง่าย
ไม่เพียงแต่ประโยชน์ของคอลลาเจนที่มีครอบคลุมจักรวาล แต่ประเภทของคอลลาเจนก็มีที่แตกต่างกันเยอะมาก ทั้งแบบที่เน้นสร้างมวลกระดูกหรือแบบที่ให้ผลลัพธ์กับผิวโดยตรง แต่การกินคอลลาเจนให้เห็นผลสุด ก็ต้องเลือกกินเป็นคอลลาเจนประเภทที่ดูดซึมง่ายสุด ซึ่งเราแนะนำเป็น Hydrolyzed Collagen ค่ะ
-กินในปริมาณที่เหมาะสม
สำหรับคอลลาเจนที่ร่างกายควรได้รับเพียงพอต่อวันจะอยู่ที่ 5,000 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าไม่มากค่ะ สามารถหาได้จากในอาหารทั่วไป แต่สำหรับคนที่เริ่มมีการผลิตคอลลาเจนลดลงแล้ว ต้องการกินเสริมจากปกติ สามารถกินได้โดยควบคุมปริมาณสูงสุดไม่ให้เกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ
-กินร่วมกับวิตามินซี
คอลลาเจนที่กินเข้าไปจะเป็นประโยชน์กับร่างกายก็ต่อเมื่อถูกดูดซึมไปใช้งานค่ะ โดยถ้าเรากินคู่กับวิตามินซี เขาจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
-ช่วงเวลาในการกิน
ควรกินคอลลาเจนในช่วงที่ท้องว่าง หรือก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที โดยเฉพาะช่วงเช้า จะสามารถช่วยให้ดูดซึมง่ายที่สุดค่ะ
-กินคอลลาเจนร่วมกับการดื่มน้ำให้เพียงพอ
ปกติแล้วคอลลาเจนในท้องตลาดมักมาในรูปแบบผง เม็ด และแคปซูลค่ะ ซึ่งต้องการน้ำไปเป็นตัวทำการละลายแล้วดูดซึมสู่ร่างกายอีกทีหนึ่ง ใครที่ตั้งใจจะกินคอลลาเจนจึงควรดื่มน้ำตามไปมากๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีค่ะ
สรุป
ทั้งหมดก็เป็นประโยชน์จากคอลลาเจนและวิธีกินคอลลาเจนให้เห็นผลที่เราอยากแนะนำให้สาวๆ ได้รู้จักกัน พอรู้แบบนี้ก็เข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไมสรรพคุณในคอลลาเจนถึงครอบจักรวาลได้แบบน่าตกใจ แต่การเติมคอลลาเจนก็ไม่ได้มีเพียงการกินคอลลาเจนที่มาในรูปแบบอาหารเสริมอย่างที่เราคุ้นชินกันนะคะ คอลลาเจนยังมีในรูปแบบของสกินแคร์ การฉีดคอลลาเจนตามคลินิกเสริมความงาม รวมทั้งคอลลาเจนที่ใช้ในทางการแพทย์อีกด้วย ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความจำเป็นในการใช้งานค่ะ แนะนำเป็นวิธีการธรรมชาติจะปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าใครมีเงื่อนไขให้ต้องเติมคอลลาเจนในรูปแบบที่ต่างออกไป ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยนะคะ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยค่ะ