ทุกคนต่างรู้ดีว่าการดื่มน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยตั้งแต่การเสริมสร้างส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพิ่มความสดชื่น ไปจนถึงลดน้ำหนักและกระตุ้นการขับถ่าย แต่รู้ไหมคะการดื่มให้เป็นเวลา และปริมาณเหมาะสมก็มีส่วนในการทำให้ร่างกายนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น ในวันนี้เราเลยมาแนะนำวิธีดื่มน้ำตามช่วงเวลา วีธีดื่ม รวมถึงทริคที่ทำให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างถูกต้องเพื่อให้นำไปใช้และได้ประโยชน์เห็นผลดีที่สุด ทำตามง่ายๆ ใครอยากร่างกายแข็งแรง หุ่นเพรียวแบบธรรมชาติ ตามมาอ่านได้เลยค่ะ
1. ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม
การดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ 8 – 12 แก้วต่อวัน โดยใน 1 แก้วควรมีปริมาณ 250 ซีซี จะถือว่าเป็นปริมาณต่อแก้วที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป แต่หลายคนก็อาจจะงงว่า 8 – 12 แก้วเป็นช่วงที่ค่อนข้างห่าง ต่างกันถึง 4 แก้ว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าจะเลือกกี่แก้วดีถึงจะพอดี เพราะถ้า 8 แก้วก็กลัวน้อยไป หรือ 12 แก้วก็อาจจะมากเกิน อันนี้ก็จะมีอีกวิธีคิดให้เป๊ะขึ้นนั่นก็คือ การดื่มตามน้ำหนักตัวค่ะ เพราะยิ่งน้ำหนักมากร่างกายก็จะมีปริมาณน้ำมากขึ้น ทำให้ต้องการมากขึ้นตาม ดังนั้นวิธีนี้ก็จะเฉพาะเจาะจงขึ้นมา วิธีคำนวณ คือ ให้นำน้ำหนักตัวของทุกคนโดยใช้หน่วยเป็นกิโลกรัม x 2.2 x 30 แล้วหาร 2 ค่ะ จะได้เป็นปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวันออกมาเป็นหน่วยมิลลิลิตร เช่น ถ้าหนัก 50 กิโลกรัม ก็จะได้เป็น 50 x 2.2 x 30 / 2 ได้ออกมา 1,650 มิลลิลิตร ก็กินตามนั้นได้เลย ซึ่งจะเป็นปริมาณเฉพาะของแต่ละคนแตกต่างไปตามน้ำหนักตัวนั่นเอง
2. คุณภาพน้ำที่ดื่มต้องดี มั่นใจในความสะอาด
นอกจากปริมาณแล้วก็ยังต้องเลือกน้ำคุณภาพดีที่ทำให้ร่างกายเอาไปใช้ง่ายขึ้นค่ะ แนะนำว่าควรเลือกดื่มเป็นน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง ไม่เย็นจัด อุ่น หรือร้อนจนเกินไป ถ้าเลือกอุณหภูมิตามนี้ก็จะทำให้ตรงกับอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้นำไปใช้ในการเผาผลาญพลังงานและลดประมาณไขมันสะสมในร่างกายต่อไปได้โดยง่ายค่ะ ซึ่งน้ำเปล่าที่เลือกดื่มก็ต้องมั่นใจด้วยว่าสะอาด สามารถเลือกเป็นน้ำที่ผ่านการกรองด้วยเครื่องกรองน้ำทั่วไป หรือน้ำขวดที่ได้มาตรฐานอย่างแบรนด์ดังๆ ในซูเปอร์มาเก็ตเองก็ได้เช่นกันค่ะ ที่สำคัญคือควรใส่ในภาชนะที่สะอาด และล้างทุกครั้งหลังใช้ หลีกเลี่ยงการใช้ปะปนกับคนอื่น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการปนเปื้อน รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียและโรคติดต่อได้นั่นเอง
3. วิธีดื่มให้ได้ประโยชน์
หลายคนพอได้ยินว่าการดื่มน้ำปริมาณที่เหมาะสมคือ 8 – 12 แก้ว ก็อาจมีการดื่มตุนตั้งแต่เช้าทีละหลายแก้ว หรือบางทีอาจเว้นช่วงกลางวัน แล้วไปอัดดื่มอีกทีช่วงเย็นก็มี แบบนี้บอกเลยค่ะว่าผิด ถึงปริมาณจะถึงก็จริงแต่เป็นการดื่มโดยไม่ตรงกับช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการค่ะ ทางที่ดีควรแบ่งดื่มตลอดวัน โดยให้ค่อยๆ ดื่มครั้งนึงในปริมาณตามที่รู้สึกว่าร่างกายกระหาย ไม่ควรเร่งดื่มรวดเดียว หรือมากเกินไปจนจุกค่ะ เน้นจิบเอาทีละนิดแต่จิบบ่อยๆ จะเป็นประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ก็จะมีการดื่มตามช่วงเวลา ซึ่งจะแนะนำต่อไปในข้อถัดๆ ไปเลย
4. ดื่มหลังตื่นนอน 1 แก้ว
ทุกเช้าหลังตื่นนอนจะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการน้ำเข้าไปใช้โดยทันทีค่ะ เนื่องจากช่วงเวลาที่เราหลับอยู่ ร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานาน พอตื่นขึ้นมาทุกคนจึงควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ซึ่งจริงๆ ก็เป็นอะไรที่ง่ายมาก หลายคนน่าจะเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วบางทีพอเราไม่ให้ความสำคัญกับการดื่มอย่างจริงจังก็อาจมีหลงลืมได้ค่ะ เช่น บางทีตื่นสายแล้วต้องรีบออกไปทำงาน หรืองัวเงียอยู่บนเตียงเล่นมือถือจนผ่านไปหลายชั่วโมงก็มี เราเลยแนะนำว่าควรมีน้ำอยู่ข้างเตียง ตอนตื่นจะได้บังคับให้หยิบดื่มได้ทันที โดยเวลาที่เหมาะสุดก็คือระหว่าง 6 โมงครึ่ง – 7 โมงค่ะ เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ในการขับถ่ายและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดด้วยนั่นเอง
5. ดื่มช่วงสาย 2 แก้ว
ช่วงสายที่อาจไม่ได้สายมากนัก ถ้าทุกคนสามารถตื่นขึ้นมาดื่มได้ตรงเวลาตามที่เหมาะสมสุดในข้อก่อนหน้า หรือก่อน 7 โมงนั่นเอง พอเราเริ่มดื่มไวร่างกายก็จะต้องการไวขึ้นค่ะ ดังนั้นแก้วที่ควรดื่มถัดมาก็จะมี 2 แก้วด้วยกัน นั่นคือช่วง 8 โมง หรือ 1 ชั่วโมงหลังตื่นและดื่มแก้วแรกไปแล้ว ซึ่งแก้วนี้เองจะช่วยเจือจางน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไม่ให้เข้มข้นเกินไปจนกัดกระเพาะและปวดท้อง ดังนั้นทุกคนควรดื่มก่อนกินข้าวประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้การย่อยอาหารดีขึ้นได้ด้วย หลังจากนั้นในช่วง 9 โมง - 11 โมง ร่างกายก็จะต้องการแก้วที่ 3 เนื่องจากต้องกำจัดของเสียผ่านรูปแบบปัสสาวะด้วยค่ะ
6. ดื่มก่อนและหลังอาหารกลางวัน 1 แก้ว – 1 แก้วครึ่ง
ก่อนมื้อกลางวันร่างกายก็ต้องการน้ำเข้าไปเพื่อช่วยกระบวนการย่อยอาหารเช่นเดียวกับแก้วที่ดื่มก่อนมื้อเช้าค่ะ โดยจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เพราะมื้อกลางวันจะเป็นมื้อที่ค่อนข้างหนักขึ้นมากว่ามื้อเช้า เลยควรดื่มครึ่งแก้วเพื่อไม่ให้แน่นท้องจนเกินไป และเลือกดื่มก่อนกินอาหาร 1 ชั่วโมงเช่นกัน หลังจากกินเสร็จแล้วก็สามารถดื่มอีกแก้วได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ดื่มมากเกินไปเพราะจะไปเจือจางกรดในกระเพาะ ทำให้การย่อยอาหารทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ
7. ดื่มช่วงบ่าย 2 แก้ว
ช่วงระหว่างบ่ายโมงตรง - บ่าย 4 โมง ร่างกายเราจะเริ่มต้องการน้ำมากขึ้นเพราะผ่านการทำกิจกรรม รวมถึงอากาศที่เริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายถูกนำไปใช้มากขึ้นตาม ช่วงนี้จึงควรดื่มอย่างน้อย 2 แก้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่กลางแจ้งหรือห้องแอร์ก็ไม่ควรขาดค่ะ เพราะในที่อากาศเย็น แม้ไม่รู้สึกระหายแต่ก็ต้องการนำไปใช้เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วยเช่นกัน
8. ดื่มช่วงมื้อเย็น 2 แก้ว
เวลาในการดื่มน้ำช่วงเย็นควรจะอยู่ระหว่าง 5 โมงเย็น – 1 ทุ่ม ซึ่งจะเป็นแก้วที่ควรดื่มก่อนอาหารเย็น 1 แก้ว โดยให้เว้นช่วงก่อนกินอาหาร 1 ชั่วโมงเหมือนเดิมค่ะ จากนั้นแก้วถัดมากก็จะอยู่ช่วง 1 ทุ่ม – 3 ทุ่มนั่นเอง แก้วตอนกลางคืนนี้ก็จะเป็นการดื่มเพื่อเสริมการทำงานให้กับลำไส้ค่ะ ย่อยอาหารและเตรียมพร้อมสำหรับการขับถ่ายในช่วงเวลาถัดไป ให้ทุกคนเน้นจิบเรื่อยๆ ระหว่างเวลาดังกล่าวได้เลย
9. ดื่มแก้วสุดท้ายก่อนนอน
แน่นอนว่าก่อนนอนก็ต้องดื่มน้ำเช่นกัน เพราะเป็นการเตรียมเข้าสู่โหมดพักผ่อนที่ร่างกายจะไม่ได้รับน้ำเลยไปอีก 8 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งเวลาที่เหมาะสมก็คือ 5 ทุ่มค่ะ เพราะควรดื่ม 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และถ้าไม่อยากนอนดึกเกินไป เกินเวลาที่ร่างกายต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูตัวเอง ก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืน ทำให้เวลาเหมาะสมของการดื่มน้ำแก้วสุดท้ายอยู่ในช่วง 5 ทุ่มตามชีวจิตค่ะ แต่ถ้าใครนอนช้าหรือเร็วกว่านี้ก็สามารถปรับตามให้เหมาะสมได้ ถ้าเกิดดื่มแล้วนอนทันทีจะทำให้แน่นท้อง หลับไม่สนิท การพักผ่อนก็อาจไม่เต็มอิ่มตามมาได้ค่ะ
สรุป
ทั้งหมดก็เป็นตารางดื่มน้ำง่ายๆ ที่ถ้าทำตามแล้วจะเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจน การดื่มน้ำไม่ได้เป็นแค่พื้นฐานชีวิต หรือเพื่อดับกระหายเท่านั้น แต่ด้วยความที่ร่างกายเรามีปริมาณน้ำจำนวนมาก แถมเป็นส่วนสำคัญที่ต้องนำไปใช้ ไม่ว่าจะต่อสมอง ร่างกาย หรือจิตใจก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปรับเปลี่ยนให้ถูกหลักการอย่างเคร่งครัดค่ะ นอกจากการดื่มเพื่อนำไปใช่ตามปกติแล้ว การดื่มน้ำก็ยังช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้ โดยกระตุ้นระบบเผาผลาญไขมัน ควบคุมระดับพลังงาน แถมยังทำให้ความอยากอาหารลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่โหยจนเกินไปนั่นเอง แต่ก็อย่าลืมว่ามีข้อดีก็มีข้อเสียนะคะ ถ้าดื่มมากเกินไปก็ส่งผลให้ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียนได้เช่นกัน หวังว่าทุกคนจะนำไปใช้ได้ถูกต้องและเห็นผลกันค่ะ
ที่มา thairath, mgronline