เชื่อว่าสาวๆหรือหนุ่มๆหลายคนต้องเคยประสบปัญหาสิวกันทั้งนั้น เพราะสิวส่วนใหญ่ก็เกิดมาจากฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลง พอถึงช่วงวัยหนึ่งปัญหาสิวจึงมาสร้างความกวนใจให้กับทุกคนไม่น้อยเลยใช่ไหม เราจึงต้องคอยสรรหาวิธีการต่างๆเพื่อมากำจัดสิวออกไป แต่พอสิวหายแล้วกลับกลายเป็นว่าไม่จบอย่างนั้นสิ เพราะเจ้าสิวตัวดียังคงทิ้งปัญหาใหญ่หลวงตามมาอีก ทั้งรอยแดง รอยดำ หรือจะเป็นปัญหาหลุมสิว กลายเป็นว่าคราวนี้ก็ยิ่งเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากกว่าเดิม
ปัญหาหลุมสิวเมื่อเป็นแล้วก็กลับกลายเป็นการสร้างความไม่มั่นใจให้กับใครหลายๆคนได้เลย เพราะจะทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน แต่งหน้ายาก ทารองพื้นหรือแป้งก็จะตกร่อง หน้าก็จะยิ่งมีแต่หลุม ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปรู้จักเจ้าปัญหาหลุมสิวนี้ให้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ป้องกันการเกิดและสามารถหาวิธีรักษาได้เมื่อเกิดเป็นหลุมสิวบนหน้าแล้ว คืนความมั่นใจให้กับทุกคนอย่างง่ายดาย ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าหลุมสิวจะเป็นอย่างไร เราไปลองดูพร้อมๆกันได้เลย
หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิวคือรอยแผลที่เกิดจากการที่สิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง โดยส่วนมากมักจะเกิดจากสิวอักเสบ โดยเวลาที่สิวเหล่านี้เกิดขึ้นมาบนใบหน้านานๆ แล้วไม่ได้ทำการรักษาอย่างถูกต้องถูกวิธี ผิวบริเวณดังกล่าวทำการสมานแผลได้อย่างไม่สมบูรณ์ ทำให้ใต้ชั้นผิวหนังบริเวณนั้นเป็นหนองและเกิดโพรงขึ้นมา คือเกิดการยุบตัวของผิว ผิวจึงต้องมีการสร้างกระบวนการรักษาตัวเองด้วยการสร้างพังผืดเพื่อรั้งผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นยุบลงไปและกลายเป็นหลุมสิวขึ้นมาได้ นอกจากนี้หลุมสิวก็ยังสามารถเกิดจากการที่สิวอักเสบ มีการหลั่งสารเอนไซม์ออกมาทำลายคอลลาเจนบริเวณผิวหนัง คอลลาเจนของผิวจึงถูกทำลายและลดลง ทำให้ผิวหนังบุ๋มลงไปได้เช่นกัน จึงต้องมีการสร้างพังผืดขึ้นมาเพื่อทำการรักษาตัวเอง พังผืดใต้ผิวหนังนี้นั่นแหละที่เรียกว่าหลุมสิวนั่นเอง
หลุมสิวเกิดจากอะไร?
ส่วนใหญ่แล้วหลุมสิวนั้นจะเกิดหลังจากที่เรามีสิวอักเสบขึ้นมาบนใบหน้า เกิดจากกระบวนการการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิวให้กลับมาเรียบเนียน แต่เนื่องจากมีการสมานแผลดังกล่าวไม่สมบูรณ์ โดยผู้ที่เป็นสิวอักเสบจะมีทั้งเชื้อแบคทีเรียและหนองอยู่ภายในสิว ผิวของเราจึงต้องมีการสร้างกระบวนการรักษาตัวเอง ด้วยการหลั่งเอนไซม์ Collagenase ออกมาสลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้าง ทำให้ผิวหนังยุบลงไป ร่างกายก็จะสร้างพังผืดขึ้นมาเพื่อทำการรักษาตัวเอง จึงเกิดกลายเป็นหลุมสิว อีกหนึ่งอย่างคือหลุมสิวจะเกิดจากการที่เราแคะ แกะ เกา นอกจากสิวอักเสบจะลุกลามก็ยังสามารถทำให้เกิดหลุมสิวได้มากกว่าเดิม
ประเภทของหลุมสิว
ประเภทของหลุมสิวนั้นแบ่งจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
Ice Pick Scars
เป็นลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ ขอบแผลไม่เรียบ โดยที่ก้นของแผลมีความแหลมเหมือนกรวย มีความลึกถึงหนังกำพร้าหรือเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง มักพบได้ง่ายในบริเวณแก้ม ถือได้ว่าเป็นหลุมสิวที่รุนแรงที่สุดและทำการรักษาได้ค่อนข้างยาก สิวกัดกินเนื้อไปจนถึงชั้นรูขุมขน จึงเวลาในการรักษาค่อนข้างนานเพื่อช่วยให้รอยหลุมตื้นขึ้นมา โดยลักษณะรอยแผลชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- รอยแผลชนิดตื้น (Shallow Scar) มีความลึกอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.5 มิลลิเมตร
- รอยแผลเป็นชนิดลึก (Deep Scar) มีความลึกมากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 มิลลิเมตร
Boxcar Scar
เป็นลักษณะหลุมสิวที่ปากหลุมและก้นหลุมมีความกว้างเท่าๆ กัน มีรอยแผลกว้าง 3-4 มิลลิเมตร ปากหลุมสิวมีความชัดและมีความชัน เป็นทรงกลมหรือวงรี มีทั้งแบบลึกและแบบตื้น จะมีความลึกในระดับชั้นผิวเท่านั้น สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาควบคู่กับการทำทรีทเม้นท์ หากดูแลรักษาดีๆก็จะสามารถกลับมามีผิวที่เรียบเนียนเหมือนเดิมได้ นอกจากเกิดจากสิวแล้วยังสามารถเกิดจากแผลอีสุกอีใสได้อีกด้วย
Rolling Scar
เป็นลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้างลาดลึกลงชั้นใต้ผิว ก้นของหลุมสิวโค้งลง เป็นหลุมสิวแบบตื้น ๆ กินพื้นที่แค่ส่วนบนของผิวเพียงเล็กน้อยสามารถใช้ยาทาเพื่อเติมเต็มเนื้อผิวได้ มีความกว้างของปากหลุมประมาณ 1-4 มิลลิเมตร เป็นระดับที่สามารถรักษาได้ง่ายมากกว่าระดับอื่นๆ เนื่องจากหลุมสิวระดับนี้เกิดจากการแกะสิวในระดับที่ไม่ลึกมาก เนื้อเยื่อพังผืดดึงรั้งชั้นตั้งแต่หนังแท้ถึงเนื้อใต้ผิวหนังลงไป
ป้องกันการเกิดหลุมสิวใหม่ได้อย่างไร?
วิธีป้องกันการเกิดหลุมสิวที่ดีที่สุด คือการที่พยายามป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดสิว เสี่ยงต่อการเกิดสิวให้น้อยที่สุด เพราะ สิวสามารถกลายเป็นสิวอักเสบได้ หากรักษา และดูแลไม่ดีพอ ก็จะส่งผลให้เกิดหลุมสิวตามมาได้ แต่ถ้าเป็นสิวแล้วนั้นก็ต้องรีบหาทางรักษาเพื่อทำให้สิวอักเสบยุบเร็วขึ้นโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ นอกจากนี้ไม่ควรบีบ แคะ แกะ เกา เพราะมือเราอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่และยิ่งทำให้เกิดกลายเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้ รวมถึงควรรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ที่มีไขมันสูง พร้อมทั้งล้างหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบนั่นเอง
วิธีรักษาหลุมสิว
- รักษาหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ โดยการใช้สมุนไพร อย่างเช่น ใบบัวบก ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว ที่มาช่วยสมานแผลและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือใช้กรดผลไม้ อย่างเช่น หอมแดง มะนาว มะละกอสุก เพื่อแก้ปัญหารอยหลุมสิว เป้นวิธีที่สามารถทำได้เองง่ายๆ ค่าใช้จ่ายไม่สูง วัตถุดิบหาได้ง่ายๆ
- แต้มด้วยกรด TCA ใช้กรดที่มีชื่อว่า TCA เป็นกรดที่ใช้ลอกผิวหน้า ช่วยรักษาหลุมสิว โดยจะมีความเข้มข้นที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 10-100% โดยจะแต้มหลุมสิวแต่ละหลุม ทิ้งไว้ 3-4 นาที แล้วล้างออก หลังจากนั้นจะเกิดกลายเป็นรอยด่างขาวขึ้นมา ปล่อยไว้ 3-4 วัน รอยด่างจะกลายเป็นสะเก็ดแผลสีน้ำตาล โดยจะต้องห้ามแกะเด็ดขาด เมื่อสะเก็ดแลผหลุดไปตามธรรมชาติหลุมก็จะตื้นขึ้นมา
- ใช้ยารักษาหลุมสิว โดยการใช้ยาในการรักษาหลุมสิวนั้นจะมีทั้งแบบที่เป็นยาทาและยากิน เหมาะสำหรับรักษารอยหลุมตื้น ๆ ซึ่งมักจะเป็นรอยหลุมระดับทั่วไป โดยยาทา ยาที่นำมาใช้แต้มให้ผิวตื้นขึ้นมีอยู่หลายชนิด เช่น กรดวิตามินเอ, Retin A, TCA, AHA, BHA, PHA ซึ่งจะช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออก พร้อมซ่อมแซมให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ส่วนยากินจะเป็นยาที่สกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือ Retinoids สามารถนำมาช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างผิวใหม่ขึ้นมา เพื่อเติมเต็มรอยหลุมสิวต่างๆ และยังช่วยควบคุมความมันได้อีกด้วย แต่วิธีการรักษานี้ก็ค่อนข้างที่จะใช้เวลานานในการรักษา และต้องมีการกินหรือทาติดต่อกัน ถ้าทานยากินนานไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อตับได้เช่นกัน
- การเลาะพังผืดใต้ผิวหนัง การรักษาโดยการเซาะพังผืดใต้หลุมสิว (Subcision) ส่วนใหญ่ใช้สำหรับหลุมสิวชนิด Rolling Scar โดยจะเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กมาเซาะทำลายพังผืดใต้แผล เพื่อเป็นการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น หลังทำอาจจะมีรอยช้ำเกิดขึ้นได้เล็กน้อย แต่ก็จะสามารถหายไปได้เอง อีกทั้งยังไม่มีแผลเป็นเกิดขึ้นอีกด้วย
- ผ่าตัดรักษาหลุมสิว การรักษาโดยวิธีผ่าตัดเย็บหลุมสิว (Punch Excision) เหมาะกับคนที่รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่หาย หรือเป็นหลุมสิวไม่มากนัก แต่หลุมสิวที่เป็นนั้นมีความลึกและกว้าง โดยแพทย์ผิวหนังจะทำการตัดหลุมสิวและทำการเย็บปิดด้วยไหมขนาดเล็ก จากนั้นจะทำการตัดไหม หลังแผลหายดีแล้วหลุมสิวที่ลึกและเป็นกล่องจะไม่มีให้เห็นอีก
- การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว การรักษาหลุมสิว ด้วยการทำเลเซอร์เหมาะกับหลุมสิวทั้ง 3 ประเภท แต่การทำเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียงคือต้องใช้เวลาในการพักฟื้นผิวนาน อีกทั้งยังต้องทำการหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดด้วย เนื่องจากจะทำให้ผิวนั้นมีรอยคล้ำและเกิดเป็นรอยขึ้นมาได้ง่าย การเลเซอร์จะเป็นการกรอผิวด้านบนให้เรียบและกระตุ้นคอลลาเจนให้แผลเต็มมากขึ้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง ทุก ๆ 4-6 สัปดาห์ มีประเภทของเลเซอร์แตกต่างกัน ดังนี้
- Cool touch laser คือ การยิงเลเซอร์เข้าไปที่ผิวชั้นกลางเพื่อเข้าไปกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนมาเติมเต็มหลุมสิว เป็นเลเซอร์ที่ไม่ค่อยเจ็บมาก
- Laser Fraxel คือ การยิงเลเซอร์ที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากเพื่อเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่และผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียนขึ้น มีความเจ็บเล็กน้อย
- Laser fractional CO2 คือ การยิงเลเซอร์ชนิดรุนแรงเพื่อเข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยตัวเลเซอร์สามารถตัดพังผืดแบบแนวดิ่งได้ เหมาะกับหลุมสิวที่มีความลึกและกว้าง ใช้เวลาในการพักฟื้นนานมากกว่าเลเซอร์แบบอื่นๆ
การฉีดฟิลเลอร์รักษาหลุมสิว เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในผิวเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยการหย่อนคล้อย หรือ แก้ปัญหาหลุมสิวเมื่อฉีดเข้าไปจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหลุมสิวชนิด Box Scar และ Rolling Scar ที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่ลึก วิธีนี้ได้ผลเร็วแต่อยู่ได้ไม่นาน
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับความรู้ในเรื่องของหลุมสิวที่เราได้นำมาฝากทุกคนกันในวันนี้ หลุมสิวถึงจะดูเป็นปัญหาที่เล็กแต่ถ้าได้เกิดขึ้นแล้วก็จะทำการรักษาได้ยากมากเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆที่จะทำให้เกิดสิวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดหลุมสิวร่วมไปด้วย ถ้าใครยังไม่รู้ว่ามีวิธีอะไรบ้างลองอ่านบทความนี้เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองได้นะคะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนค่ะ