ผิวหน้า ความงามและผู้หญิงเป็นของคู่กันที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ ซึ่งสิ่งสำคัญในการดูแลบำรุงผิวหน้า ผิวกาย ที่หลายๆคนเรียกกันว่า สกินแคร์ (Skincare) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาเพื่อดูแล บำรุง ฟื้นฟูและรักษาผิวหน้าและผิวกาย ให้ยังคงดูดี
การเลือกใช้สกินแคร์นั้นควรเลือกให้เข้าและเหมาะสมกับผิวหน้า ผิวกายของตัวเราเอง สามารถทาหน้า ทารอบดวงตา ผิวบริเวณที่ไม่ดีให้ดีได้โดยไม่ต้องทำการศัลยกรรมหรือไม่ต้องพึ่งหมอ แต่เชื่อว่าสาวๆหลายๆคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับสกินแคร์ต่างๆ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปดูว่าสกินแคร์คืออะไร มีแบบไหนกันบ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อของทุกคนกัน ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันได้เลย
สกินแคร์คืออะไร?
สกินแคร์หรือเครื่องสำอาง คือ สิ่งที่ใช้บำรุง ฟื้นฟูและดูแลผิวหน้า ผิวกาย สามารถมีการบำรุงได้ล้ำลึกในระดับหนึ่ง ทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ไม่หมองคล้ำ น่าดึงดูดมากขึ้น สกินแคร์มีมากมายหลายประเภทให้เลือกใช้ ทั้งประเภทที่ช่วยลดรอยดำของสิว ลดการอักเสบของสิว ปรับผิวให้ขาวกระจ่างใส หรือลดความหมองคล้ำ เป็นต้น
รูปแบบการเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป หรือถ้ามองอย่างลึกซึ้งสกินแคร์ก็คือเครื่องสำอางอย่างหนึ่ง ซึ่งคำว่า Cosmetics ก็มาจากคำว่า "Kosm tikos" ที่แปลว่า “พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงและทักษะในการตกแต่ง” ที่เปรียบได้เหมือนกับเครื่องสำอางที่ทำให้เราดูดีขึ้นได้นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของสกินแคร์?
จุดกำเนิดของสกินแคร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้
1.Prehistory
Prehistory : หรือเรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงก่อนประวัติศาสตร์ เป็นช่วงที่มีการลองผิดลองถูกกับพวกสกินแคร์และเครื่องสำอางมากที่สุด ใช้สีต่างๆมาป้ายตามพิธีของศาสนา ความเชื่อ การรักษาโรค หรือพวกเวทมนต์ต่างๆ ยังไม่ได้รับอิทธิพลมาจากทางวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่นัก เช่น ทาตัวด้วยพืชสมุนไพรต่างๆเพื่อป้องกันแสงแดด ทาใบหน้าด้วยสีต่างๆของชนเผ่า เป็นต้น
2.History
History : เรียกได้ว่าเป็นช่วงของประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นช่วงของความรุ่งเรืองของพวกเครื่องสำอางและสกินแคร์ มีการเริ่มแยกระหว่างศาสนา ความเชื่อ เครื่องสำอางและการรักษาโรค ออกจากกัน และมีสิ่งที่ได้คิดค้นในยุคนี้โดย Galen แพทย์ชาวกรีกในคริสต์ศตวรรษที่ 2ที่ถือได้ว่าเป็นบิดาแห่งเภสัชกรรม นั่นก็คือ Cold cream หรือ ครีมเย็น ชื่อนี้ได้มาจากความรู้สึกเย็นของครีมที่ทิ้งไว้บนหน้า มีจุดประสงค์นำมาใช้เพื่อลดอาการแพ้ต่างๆ มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก ไขผึ้งและน้ำกุหลาบ ถือได้ว่าเป็นรากฐานของครีมในปัจจุบันที่มีการใช้งานมายาวนานถึง 2000 ปี อีกทั้งยุคนี้ยังมีการคิดค้น โคโลญ (Eau de Cologne) ขึ้นมา ทำให้มีกล่นกายที่หอมเย้ายวนอีกด้วย
3.Modern Cosmetics
Modern Cosmetics : สามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยใหม่ เริ่มมีวิทยาศาสตร์เข้ามาบ้าง ซึ่งเป็นยุคใหม่ของวงการเครื่องสำอาง เริ่มมีการใช้สารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องในการทำสกินแคร์และเครื่องสำอางต่างๆ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิด FDA หรือ อย.ในยุคนี้นั่นเอง ซึ่งต่อมาในปี 1993 ก็เริ่มมีบริษัทเครื่องสำอางถือกำเนิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
สกินแคร์ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง?
- ช่วยในเรื่องของการลดการเกิดสิว ช่วยทำให้สิวลดลงทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด เป็นต้น
- ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวที่คล้ำเสียหือเป็นส่วนที่มีปัญหาให้กลับมาดูสว่าง กระจ่างใส และดูสดใสไม่หมองคล้ำ
- ช่วยทำให้ผิวกายและผิวหน้าสามารถคงสุขภาพทที่ดีไว้และทำให้ผิวดูแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับทั้งผิวหน้าและผิวกายเราให้มีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
- ช่วยในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างๆดำต่างๆให้ดูจางลง รวมถึงรอยต่างๆที่เกิดจากบาดแผลและเกิดจากสิวอีกด้วย
- ช่วยในการทำความสะอาดผิวให้สามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก หมดจด ช่วยลดการเกิดปัญหาผิวที่เกิดจากความสกปรกต่างๆ
- ช่วยในการปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดดที่เป็นตัวทำลายผิวให้แย่ลง และเกิดปัญหาอื่นๆตามมา
ประเภทของสกินแคร์
สกินแคร์สามารถแบ่งประเภทได้ตามลักษณะการใช้งาน และความสำคัญของส่วนต่างๆ แบ่งได้ 9 ประเภท ดังนี้
1.เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Make up Remover)
เมคอัพรีมูฟเวอร์ (Make up Remover) หรือคลีนซิ่ง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการล้างเครื่องสำอางที่อยู่บนใบหน้าเรา กำจัดสิ่งสกปรก ให้หน้าเราสะอาดมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะทำการล้างหน้า มีลักษณะเป็นของเหลว ออยล์ เจลหรือน้ำ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าแบบไหน สุขภาพผิวที่ดีควรเริ่มจากการที่ผิวหน้าเราสะอาด
การทำความสะอาดผิวหน้าถือว่าเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด วิธีใช้มีทั้งแบบหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดทำความสะอาด หรือนวดลงบนผิวหน้าแล้วค่อยใช้สำลีล้างออก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำการลงรองพื้น บีบี ไพรเมอร์หรือครีมกันแดด Make up Remover มีหลายประเภทให้เลือก ดังนี้
- คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing Water)
หรือคลีนซิ่งแบบน้ำที่มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำ มีลักษณะเป็นน้ำใสๆธรรมดา ส่วนผสมของน้ำมันน้อย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความมันและความเหนอะหนะ วิธีใช้คือหยดลงบนสำลีและค่อยๆ เช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้า - คลีนซิ่งมิลค์ (Cleansing Milk)
หรือคลีนซิ่งน้ำนม มีส่วนผสมของน้ำมัน มีลักษณะคล้ายโลชั่น วิธีใช้คือนวดลงบนหน้าแล้วใช้สำลีเช็ดออก เหมาะสำหรับวันที่ไม่ได้ลงรองพื้นที่หน้าเกินไป - คลีนซิ่งออยล์ (Cleansing Oil)
มีลักษณะคล้ายคลีนซิ่งวอเตอร์ แต่มีส่วนผสมของน้ำมัน เหมาะกับการล้างเครื่องสำอางแบบกันน้ำและมีความติดทนนาน วิธีใช้คือนวดลงบนใบหน้าให้ทั่วและใช้สำลีเช็ดออก - คลีนซิ่งเจล (Cleansing Gel)
มีลักษณะเป็นเนื้อเจล ทั้งเจลใสและเจลขุ่น เหมาะทำความสะอาดในวันที่แต่งหน้าแบบเบาๆ ไม่ลงรองพื้น วิธีใช้คือนวดลงบนใบหน้าแล้วเช็ดออกด้วยสำลี
2.คลีนเซอร์ (Cleanser)
คลีนเซอร์ (Cleanser) หรือที่เรียกกันว่า ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหลังจากที่ล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างภายในรูขุมขนให้สะอาดหมดจด ควรใช้เช้าและเย็น ไม่ใช่เฉพาะหลังล้างเครื่องสำอาง คลีนเซอร์มีหลายประเภท ดังนี้
- สบู่ก้อน (Soap)
ที่สามารถล้างสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด มีค่า PH สูง แต่อาจจะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นจึงไม่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง และควรทาครีมหรือเซรั่มหลังล้างหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเสมอ - เจลล้างหน้า (Gel)
มีทั้งแบบมีฟองและไม่มีฟอง เป็นเนื้อเจลใสหรือเจลขุ่น เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันเนื่องจากเจลล้างหน้าส่วนใหญ่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน - โฟมล้างหน้า (Foam)
เป็นคลีนเซอร์ที่ได้รับความนิยมที่สุด มีลักษณะคล้ายเนื้อครีม มักตีให้เกิดฟองฟูๆ ใช้งานง่าย เนื้อโฟมจะไม่ทำการเสียดสีผิวหน้ามากนัก แต่บางชนิดก็ไม่มีฟอง มีมากมายหลายสูตร
3.โทนเนอร์ (Toner)
โทนเนอร์ (Toner) หลังจากทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนซิ่งและคลีนเซอร์แล้ว การใช้โทนเนอร์ (Toner) จะสามารถช่วยเก็บกวาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างให้หน้าเราสะอาดมากยิ่งขึ้นเป็นขั้นตอนสุดท้ายและเป็นการเตรียมผิวเพื่อลงสกินแคร์ในขั้นตอนต่อๆไป โทนเนอร์มีลักษณะเป็นโลชั่นเนื้อบาง และมักมีวิตามินและเกลือแร่บำรุงผิว จึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการลงสกินแคร์ก็ได้เช่นกัน
4.เอสเซนส์ (Essence)
เอสเซนส์ (Essence) หรือที่เรียกกันว่าน้ำตบ มีลักษณะเป็นน้ำเหลวใส เบาบาง ไม่เข้มข้นเท่าเซรั่ม ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วกว่า เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นแรก เหมาะกับทุกสภาพผิว วิธีใช้คือหยดลงบนมือและน้ำมาตบเบาๆทั่วใบหน้า
5.เซรั่ม (Serum)
เซรั่ม (Serum) ถือได้ว่าเป็นสกินแคร์ที่มีความสำคัญมากในการบำรุงผิว มีส่วนผสมที่เข้มข้น เห็นผลได้ไวกว่า มีส่วนผสมของน้ำมันจึงซึมเข้าสู่ผิวได้ช้ากว่า ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวมัน สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างเจาะจง เช่น รอยสิว จุดด่างดำ วิธีใช้หยดและทาลงบนใบหน้า
6.อีมัลชั่น (Emulsion)
อีมัลชั่น (Emulsion) คือ มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือ สกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้น เบาบางกว่าครีม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าของเรา ให้มีความอิ่มน้ำและไม่แห้ง สามารถช่วยลดความมันบนหน้าได้ มีส่วนผสมทั้งโลชั่นและครีม แต่เน้นไปทางโลชั่นมากกว่า
7.โลชั่น (Lotion)
โลชั่น (Lotion) มีลักษณะเหมือนอีมัลชั่น แต่มีความเข้มข้นกว่าอีมัลชั่น มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่า ไม่ได้เข้มข้นเท่าครีม โลชั่นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยเคลือบผิวชั้นนอกเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
8.ครีม (Cream)
ครีม (Cream) มีเนื้อที่เข้มข้นที่สุด เป็นสกินแคร์ที่ได้รับความนิยมที่สุด และมีส่วนผสมของน้ำมันเยอะที่สุด ใช้เวลานานในการซึมซาบสู่ผิว ช่วยคงความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด ลดการสูญเสียน้ำของใบหน้าได้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งและขาดน้ำมากๆ
9.ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen)
ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sunscreen) เป็นสกินแคร์ในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet Radiation: UV) เนื่องจากรังสียูวีจะทำลายผิว ถ้าร้ายแรงอาจจะทำให้เกิดมะเร็งอีกด้วย มีให้เลือกใช้หลายรูปแบบ ทั้งครีม เจล สเปรย์ เป็นต้น
สกินแคร์คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บำรุงผิวหน้าหรือผิวกาย ซึ่งมาในรูปแบบเจล ครีม โลชั่น ซึ่งเซรั่มเป็นหนึ่งในประเภทของสกินแคร์แต่เซรั่มสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเจาะจง เช่น รักษารอยสิว แก้ปัญหาสิว จุดหมองคล้ำ เป็นต้น ดังนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกัน แต่ต่างกันตรงการเลือกใช้งานเพื่อให้ได้ผลที่ดีต่อผิวหน้าเรา
สกินแคร์กับเซรั่มแตกต่างกันอย่างไร?
สกินแคร์คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บำรุงผิวหน้าหรือผิวกาย ซึ่งมาในรูปแบบเจล ครีม โลชั่น ซึ่งเซรั่มเป็นหนึ่งในประเภทของสกินแคร์แต่เซรั่มสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเจาะจง เช่น รักษารอยสิว แก้ปัญหาสิว จุดหมองคล้ำ เป็นต้น ดังนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกัน แต่ต่างกันตรงการเลือกใช้งานเพื่อให้ได้ผลที่ดีต่อผิวหน้าเรา
วิธีการเลือกซื้อสกินแคร์?
การเลือกซื้อสกินแคร์ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับผิวหน้าของเรา เช่นผิวมันไม่ควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมาก หรือผิวแห้งไม่ควรเลือกสกินแคร์ที่เป็นสบู่หรือสครับที่จะทำให้ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายไม่ควรเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีมาก อีกทั้งการเลือกซื้อสกินแคร์ยังต้องคำนึงถึงปัญหาผิวหน้าที่เราต้องการแก้ไข เช่น จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ รอยสิว เป็นต้น
วิธีการใช้สกินแคร์?
- ทำความสะอาดผิวหน้า เป็นขั้นตอนแรกที่ควรทำ ทั้งเช็ดและล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจด กำจัดน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป
- ทายาตามที่แพทย์สั่งก่อนเสมอ ทั้งใช้ครีมหรือโลชั่น ยาที่ใช้ในการรักษาสิว เพราะยาจะสัมผัสผิวเป็นอันดับแรก ทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
- ทาครีมกันแดด เพื่อทำหน้าที่เป็นเกราะปกป้องผิวที่ดีที่สุด รอให้ครีมกันแดดแห้งสักนิด เพื่อลงสกินแคร์ต่อไป
- ลงสกินแคร์จากส่วนที่เป็นเนื้อเบาและซึมซาบลงผิวได้เร็วไปจนถึงเนื้อที่หนักและซึมซาบลงผิวได้ช้า หากสกินแคร์ไม่สามารถรุกล้ำผ่านสกินแคร์ชิ้นสุดท้ายที่ทา ก็จะทำงานได้ไม่มีประสิทธิผล
เป็นอย่างไรกันบ้าง รู้จักสกินแคร์เพิ่มขึ้นมากหรือเปล่า การลงสกินแคร์และการเลือกซื้อต้องคำนึงถึงผิวหน้าเราเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับตัวเอง ซึ่งมีประเภทที่แตกต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งแต่ละชนิดก็แก้ปัญหาแตกต่างกันด้วย ดังนั้นควรเลือกให้ดีที่สุดเพื่อผิวหน้าใสและลงสกินแคร์ให้ถูกต้องตามความเหมาะสมที่สุด
อ้างอิงจาก
https://bit.ly/3v2fLMM
https://beau3blogs.com/
https://kovic.co.th/skin-care-type-things-you-should-know-before-making-a-brand/
https://www.lifestyleissue.com/beauty/skincare-types/