แจกวิธีดูแลผิวฉบับมนุษย์ผิวเป็นสิว
หลายคนที่มีปัญหาสิว เป็นปัญหาหลักของใครหลายคน ซึ่งสาเหตุของการเกิดสิวนั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะปัจจัยภายใน อย่างเช่น กรรมพันธุ์ หรือฮอร์โมน รวมถึงปัจจัยภายนอก เช่น มลภาวะ แสงแดด การเลือกใช้สกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ พอเป็นสิวจะใช้อะไรก็ก่อให้เกิดสิว จนทำให้ยากที่จะรู้ว่าผิวนั้นต้องการอะไร แต่ก็อยากให้ผิวมีสุขภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอางต่างๆ รวมถึงคำแนะนำทางโซเชียล และกูรูทางด้านความงามเยอะมากๆ จนบางครั้งเราก็เลือกไม่ถูกว่าผิวที่เป็นสิวของเราต้องการอะไร บทความนี้จะช่วยไขปัญหาของคนเป็นสิวได้ กับ แจกวิธีดูแลผิวฉบับมนุษย์ผิวเป็นสิว ไปดูกันค่ะ
เคยสงสัยกันไหมคะว่า สิวเกิดจากอะไร ทั้ง ๆ ที่เราทำความสะอาดผิวหน้าเป็นอย่างดีแล้ว แต่สิวก็ยังขึ้นอย่างไม่หยุดอยู่ดี สิว เกิดจากการอักเสบของหน่วยรูขุมขน รูขุมขนคือจุดที่เป็นสิวของเรานั่นเอง สิวจะมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆนูนขึ้นมา ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบและอาจเกิดการอักเสบ เช่น เจ็บ บวม แดง ร่วมด้วย สิวจะพบได้มากในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และจะดีขึ้น หรือหายไปเองเมื่อมีอายุมากขึ้น
แจกวิธีดูแลผิวฉบับมนุษย์ผิวเป็นสิว
1.ล้างหน้าวันละสองครั้ง
หากคุณมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวง่าย หรือมีผิวมัน อย่าละเลยการล้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรการดูแลผิวในตอนเช้าและตอนเย็น ในการทดลองเกี่ยวกับการล้างหน้า โดยผู้เข้าร่วมถูกขอให้ล้างหน้า 1-2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลสรุปออกมาได้ว่าระหว่างผู้ที่ล้างหน้าวันละ2 ครั้งผู้ที่ล้างหน้าเพียงวันละครั้งนั้น ผู้ที่ล้างหน้าเพียงวันละ 1 ครั้งมีสิวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ดังนั้นใครที่เป็นสิวการล้างหน้าถือเป็นสิวที่สำคัญเป็นอย่างมาก
2.ใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าทุกประเภทมีเยอะมาก การพยายามค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับอาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เมื่อต้องเลือกคลีนเซอร์ที่ดีที่สุด แต่รู้ไหมว่าการเกิดสิวนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าคุณจะใช้คลีนเซอร์ประเภทใดก็ตาม ทั้งสบู่ก้อน และสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ไปจนถึงน้ำยาทำความสะอาดที่มีกรดอัลฟ่า และเบต้าไฮดรอกซี ที่คุณต้องจ่ายตังซื้อในราคาแพงเพื่อต้องการให้สิวหายสิวยุบนั้นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือการใช้น้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีส่วนผสมของพาราเบนและน้ำหอม เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดการเกิดสิวเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของคุณได้แล้ว
3.ทาครีมรักษาสิว
การทาครีมรักษาสิวสามารถช่วยต่อสู้กับสิวได้ แต่สิ่งที่สำคัญในการเลือกครีมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคุณ นั่นก็คือ การรู้ว่าคุณมีสิวประเภทไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของสิวที่คุณมี ดังนี้
สิวหัวดำและตุ่มที่คล้ายกัน มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอยด์ เช่น adapalene gel (Differin)
สิวไม่รุนแรง เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เฉพาะที่สามารถช่วยต่อสู้กับสิวที่ไม่รุนแรงได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองหรือใช้ร่วมกับเรตินอยด์เฉพาะที่
สิวอักเสบ ขอแนะนำให้ใช้เจล dapsone 5 เปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะในสตรีวัยผู้ใหญ่
สิวที่มีรอยแผลเป็น การเตรียมกรด Azelaic สามารถช่วยลดสิวและความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นจากสิว
นอกจากนี้การใช้ครีมรักษาสิวเหล่านี้ร่วมกัน อาจทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้นอย่าลืมใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยนะคะ
4. ทาครีมบำรุงผิว
มอยเจอร์ไรเซอร์ สามารถช่วยให้ผิวของคุณกระจ่างใสได้ เพราะถ้าหากผิวของคุณแห้งมากจนเกินไป ผิวจะพยายามชดเชยความแห้งด้วยการผลิตน้ำมันออกมามาก ดังนั้นหากใครเป็นสิวให้มองหามอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน และหากคุณมีผิวมัน ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ระบุว่าบางเบา จะดีที่สุด เพื่อป้องกันความรู้สึกเหนอะหนะหนักหน้า ทั้งนี้ในช่วงหน้าหนาวอาจจะต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นกว่า เพราะอากาศเย็นและแห้ง อาจทำให้ผิวรู้สึกตึงและแห้งได้
5. ขัดผิว
การขัดผิวจะสามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หากเซลล์เหล่านี้อยู่บนผิวของคุณนานเกินไป เซลล์เหล่านี้จะสามารถอุดตันรูขุมขนและนำไปสู่การเกิดสิวได้ การมีเซลล์ที่ตายแล้วสะสมอยู่บนใบหน้า อาจทำให้ผิวของคุณดูหมองคล้ำ เป็นขุย หรือแก่ก่อนวัยได้
วิธีการขัดผิวที่จะช่วยขจัดผิวแห้งและผิวที่ตายแล้ว มีดังนี้
- มาสก์กรดซาลิไซลิก 2 เปอร์เซ็นต์
- มาสก์หรือโลชั่นกรดไกลโคลิก 10 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่า
- แปรงล้างหน้าแบบใช้มอเตอร์
หากถามว่าควรขัดผิวบ่อยแค่ไหน? นั่นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของการขัดผิวที่คุณใช้
- สำหรับการขัดผิวด้วยสารเคมี เช่น มาสก์หรือโลชั่น ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- สำหรับผลิตภัณฑ์ขัดผิว เช่น สครับหรือแปรง ให้ตั้งเป้าไว้ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
แต่หากคุณมีสิวอักเสบ (ตุ่มหนองและซีสต์) เราขอแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน
เนื่องจากการขัดผิวบางประเภทอาจทำให้สิวอักเสบแย่ลงได้
6.ปกป้องผิวจากแสงแดด
แสงแดดเป็นอีกหนึ่งตัวการทำร้ายผิว ทำให้เกิดริ้วรอย และความหมองคล้ำ อีกทั้งยังไปกระตุ้นให้ผิวมีการผลิตน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหน้ามันขึ้น เมื่อผิวหน้ามันก็มีโอกาสในการเกิดสิว ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้รอยแดง รอยดำจากสิว ทำให้รอยดูจางลง
7.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้ผิวของคุณแตกออกบ่อยขึ้น จากการศึกษาพบว่า ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็ก่อให้เกิดสิวได้เช่นกัน เพราะการอดนอนอาจทำให้ร่างกายหลั่งสารอักเสบได้ในบางกรณี สารประกอบเหล่านี้อาจทำให้ผิวหนังแตกออกหรือทำให้สิวแย่ลงได้ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอก ควรนอน 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืน
8.เลือกเครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน
ผู้ที่ใช้เครื่องสำอางบ่อยมีแนวโน้มที่จะมีสิวที่ผิวหนัง มากกว่าคนที่ไม่ใช้เครื่องสำอาง เพื่อให้แน่ใจว่าการแต่งหน้าของคุณจะเป็นมิตรกับผิว อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิว หรือ ปราศจากน้ำมัน และควรล้างมือทุกครั้งก่อนแต่งหน้าหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรล้างเครื่องสำอางออกทุกครั้งก่อนเข้านอนหรือออกกำลังกาย ควรล้างแปรงแต่งหน้าและฟองน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ การแต่งหน้าสามารถทำให้เกิดสิวในรูปแบบที่แพทย์ เรียกว่าสิวเครื่องสำอาง ภาวะนี้ทำให้เกิดตุ่มนูนเล็กๆ ที่มักจะปรากฏที่คาง แก้ม หรือหน้าผากนั่นเอง
9.อย่ากด แกะ แคะ หรือบีบสิว
การกดหรือบีบสิวจะทำให้รูขุมขนสัมผัสนั้นกับแบคทีเรียมากขึ้น รวมทั้งแบคทีเรียจากมือของคุณด้วย นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือแผลเป็น หากคุณมีสิวที่เจ็บมาก ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการรักษาเฉพาะทางในกำจัดสิวได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อด้วย
10.งดใช้กระดาษซับมัน
หลังการใช้กระดาษซับมันจะรู้สึกว่าความมันบนใบหน้าลดลงอย่างทันที แต่เพียงไม่นานใบหน้าก็จะกลับมามันอีกครั้ง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะการใช้กระดาษซับมันเป็นการกระตุ้น ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษซับมัน แล้วเปลี่ยนมาใช้กระดาษทิชชูสำหรับใบหน้าซับน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าแทน หรือจะเลือกเป็นการฉีดสเปรย์น้ำแร่ แล้วทิ้งไว้ซัก 30 นาที แล้วใช้กระดาษทิชชูซับออก เพื่อเป็นการเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวหน้า
11.ผ่อนคลาย
การศึกษาพบว่า ความเครียดกับสิวนั้นเป็นของคู่กัน หากคุณกำลังเผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ตึงเครียด ให้มองหาวิธีคลายเครียดที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่น การออกกำลังกายในระดับหนักถึงปานกลางเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที ,ทำแบบฝึกหัดการหายใจ ,กำลังเล่นโยคะ ,นั่งสมาธิไม่กี่นาที,เขียนมันออกมา ,ฝึกการบำบัดด้วยเสียง เช่น เล่นเครื่องดนตรีหรือฟังเพลงโปรด เป็นต้น
12.ทานน้ำตาลเกิดสิวได้ง่าย
อาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจเชื่อมโยงกับการเกิดสิว จากศึกษาพบว่า คนได้รับอาหารที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ พวกเขาไม่เพียงแค่ลดน้ำหนัก แต่ 87 เปอร์เซ็นยังพบว่าพวกเขามีสิวน้อยลงด้วย ดังนั้นหากใครเป็นสิวก็ควรลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น จำกัดคาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่น ขนมปังขาวและขนมอบ ลดโซดาหวานและขนมหวาน ,กินผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพให้มากขึ้นและจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
13.อย่าสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการเกิดสิว การศึกษาพบว่า เกือบ 73 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่สูบบุหรี่นั้นมีสิว ในขณะที่เพียง 29.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่สูบบุหรี่มีสิวหรือสิวรูปแบบอื่น ดังนั้นหากคุณต้องการมีใบหน้าที่ใสไร้สิวก็ควรงดการสูบบุหรี่
14.ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน จะสามารถช่วยรักษาสิวได้ เนื่องจากตัวยานั้นจะไปลดระดับฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจนลง ทำให้การผลิตไขมันซีบัมจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดลงด้วย ซึ่งก็จะช่วยลดการเกิดของสิว แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกใช้ยาคุมกำเนิดในการดูแลสิว ควรปรึกษาหรือขอคำแนะนำแพทย์และเภสัชกรก่อน
15.ดื่มน้ำสะอาด
ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายของเรา รวมถึงผิวหนังของเราด้วย การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้องค์ประกอบต่างๆในผิว ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงควรดื่มน้ำให้พอเพียงกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โดยจะขึ้นอยู่กับเพศ, น้ำหนักตัว หรือโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1.5 ลิตรขึ้นไป ซึ่งน้ำจะเป็นตัวช่วยในการขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกมานั่นเอง
สำหรับใครที่อยากมีผิวที่กระจ่างใสไร้สิวกวนใจ ให้หันมาใส่ใจกับสิ่งที่คุณทาบนใบหน้า เช่น คลีนเซอร์ มอยส์เจอไรเซอร์ และเมคอัพ และควรระมัดระวังเรื่องของแบคทีเรียที่ไม่พึงประสงค์จากนิ้วมือหรือแปรงและฟองน้ำสกปรก อีกทั้งควรมีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการความเครียด เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผิวของคุณได้ แต่หากคุณลองรักษาสิวมาหลายวิธีแล้วไม่ได้ผล ให้นัดหมายกับแพทย์ผิวหนัง พวกเขาอาจสั่งการรักษา เช่น ยาปฏิชีวนะหรือยาตามใบสั่งแพทย์เพื่อช่วยให้ผิวของคุณกระจ่างใสไร้สิวไร้ริ้วรอย และสร้างความมั่นใจให้กับคุณได้มากขึ้นด้วย