เมื่อพูดถึง ตีนกา ถือเป็นริ้วรอยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีอายุที่มากขึ้น ในส่วนของผิวนั้นมีการเสื่อมสภาพลงไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะเวลายิ้ม หัวเราะมากๆ จะทำให้เกิดเป็นรอยพับ รอยขีด ซึ่งริ้วรอยตีนกานั้นจะทำให้ใบหน้าดูมีอายุได้ง่าย และดูแก่กว่าวัย และสำหรับใครที่ไม่อยากหน้าแก่เกินวัย เพราะเจ้าตีนกา วันนี้เรามีวิธีการรักษาให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ แถมไร้ริ้วรอย ด้วยวิธีลดรอยตีนกา พร้อมดูแลตัวเองเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตมาฝากเพื่อนๆกัน
ทำความรู้จักกับ “ตีนกา”
ตีนกา คือ ปัญหาริ้วรอยที่เกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยมีลักษณะเป็นเส้นขีดเล็ก ๆ อยู่บริเวณหางตา โดยปัญหานี้จะเกิดขึ้นตามวัยที่มีการเพิ่มขึ้น และเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิว ทั้งเวลายิ้ม หัวเราะมากๆ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดรอบ และเห็นรอยตีนกาชัดขึ้น ซึ่งรอยตีนกาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- รอยตีนกาชนิดตื้น จะเริ่มจากผิวบริเวณที่โดดแดดมาก ๆ ผิวบนชั้นหนังกำพร้าที่บางกว่าจุดอื่น ๆ
- รอยตีนกาชนิดลึก เกิดจากความหย่อนคล้อยของโครงสร้างผิวในชั้นหนังแท้ และจากรอยตีนกาตื้น ๆ หากไม่แก้ไขหรือดูแล ริ้วรอยจะลึกขึ้นเรื่อย ๆ
ตีนกา สาเหตุเกิดจากอะไร?
1.อายุเพิ่มมากขึ้น
สำหรับรอยตีนกานั้น สาเหตุแรกเลยเกิดจากอายุที่มีการเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เเพราะเมื่อคนเราอายุมากขึ้น จะทำให้คอลลาเจน อีลาสติน ความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของผิวลดลง ส่งผลทำให้ผิวอ่อนแอ ขาดความชุ่มชื้น และเกิดรอยพับ ริ้วรอย ตีนกา ได้ง่ายมากกว่าเดิม
2.การแสดงอารมณ์บนใบหน้า
สำหรับการแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่จะทำให้ผิวเกิดรอยพับ และเมื่อเกิดรอบพับในจุดเดิมซ้ำ ๆ ก็จะกลายเป็นการเกิดริ้วรอยมากขึ้น เช่น การยิ้มตาหยี ขมวดคิ้ว การเพ่ง หรือเลิกคิ้ว ก็จะทไให้ผิวจะหดตัวและเกิดเป็นรอยลึกลงไป
3.แสงแดด มลภาวะ
สำหรับแสงแดดและมลภาวะต่างๆ จะมีรังสี UV ที่เข้ามาทำลายเซลล์ผิว และทำให้ผิวเกิดความแห้ง และคล้ำเสีย รวมไปถึงมลภาวะต่าง ๆ ที่กระทบเข้ากับผิว จนเร่งให้ผิวมีความอ่อนแอ มีความเสื่อมสภาพลงเร็วขึ้น และทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยมากขึ้น
นอกจากนี้สาเหตุของการเกิดริ้วรอย และตีนกา ยังมีปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การล้างหน้าผิดวิธี หรือการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ดีต่อผิว ซึ่งหากมีการละเลย ไม่ดูแลผิว ก็จะทำให้เกิดรอยตีนกาได้ง่ายขึ้น
ตีนกา มีตำแหน่งไหนบ้าง?
รอยตีนกา เป็นริ้วรอยที่มักจะพบบริเวณส่วนที่ต้องสัมผัสหรือโดนแสงแดดมาก ๆ เช่น ใบหน้า แขน คอ หลังมือ และถ้าหากเป็นในจุดที่ผิวบางมาก ก็ยิ่งจะเกิดริ้วรอยได้ง่าย โดยหากนึกถึงตีนกา หลายคนส่วนใหญ่ย่อมที่จะเข้าใจว่า คือ ริ้วรอยบริเวณหางตาที่จะมีลักษณะเป็นขีด ๆ คล้ายรอยเท้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังมีริ้วรอยบริเวณอื่นๆที่เกิดขึ้น และเรียกว่ารอยตีนกาอีกด้วย ได้แก่
- รอยย่นหน้าผาก
- รอยย่นระหว่างคิ้ว หรือตีนกาหัวคิ้ว
- ริ้วรอยหางตา รอบดวงตา
- ริ้วรอยร่องแก้ม ร่องมุมปาก
- รอยย่นสันจมูก
วิธีการรักษาริ้วรอยตีนกาที่หางตา
ทาครีมลดรอยตีนกา
วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การทาครีมลดตีนกา ที่สามารถทำเองได้เลยจากที่บ้าย โดยต้องเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Ratinol) เพราะเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสามารถในการช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยบนผิว แต่การเลือกใช้ครีมนั้น จะมีข้อแนะนำคือ ต้องเน้นทาตอนกลางคืนโดยเฉพาะ และในช่วงแรกที่เริ่มใช้งาน ควรเริ่มใช้ครีมทาในปริมาณน้อยๆ ก่อน เพราะตัวส่วนผสมอย่างเรตินอลอาจจะมีผลทำให้ผิวแห้งมากขึ้นอีกด้วย
ฉีดโบท็อกหางตา
ฉีดโบท็อกหางตา เพื่อลดรอยตีนกา ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมายาวนาน โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่คนที่มีอายุน้อย หรือมีริ้วรอยไม่มาก ไปจนถึงคนที่อายุมาก และมีริ้วรอยเยอะมาก เพราะทำแล้วได้ผลลัพธ์ดี แถมเมื่อฉีดแล้ว จะทำให้รอยตีนกาและริ้วรอยต่างๆจางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งวิธีการนี้สามารถลดริ้วรอยได้หลายจุดด้วย เช่น รอยย่นหน้าผาก และเมื่อทำแล้วทำให้ผิวกลับมาเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัยมากขึ้น โดยในส่วนของผิวจะเริ่มตึงภายใน 3-4 วัน หลังฉีด และยิ่งเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์นั่นเอง โดยโบท็อกจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ และสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อตัวยาหมดฤทธิ์ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ยาวนานขึ้น
มาทำความรู้จักกับโบท็อกหางตา
ข้อที่ 1 : โบท็อกหางตา
คือ หัตถการความงามสมัยใหม่ที่ช่วยรักษาปัญหาริ้วรอยหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา หรือ รอยตีนกา ที่เกิดขึ้นจากช่วงวัยของอายุที่มากขึ้นและประกอบกับการเผชิญกับสภาพแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ให้กลับเรียบตึงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเราเรียกหัตถการความงามชนิดนี้ว่า การทำโบท็อกหางตา
ข้อที่ 2 : การฉีดโบท็อกหางตา
จะใช้เทคนิคการฉีดแบบ brow lift ซึ่งจะเน้นฉีดบริเวณโหนกคิ้ว เพื่อให้กล้ามเนื้อในส่วนนั้น ได้มีการการยกเปิดหางตาให้ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดริ้วรอยต่างๆ และช่วยแก้ปัญหาตาตกโดยการยกหางตาให้กลับมาสดใสขึ้น ซึ่งวิธีการนี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาตาตกและลดริ้วรอยต่างๆ รวมถึงรอยตีนกาได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเจ็บตัวผ่าตัด แถมยังสามารถเลือกฉีดบริเวณหน้าผาก เพื่อแก้ไขปัญหารอยพับหน้าผาก หรือเลือกฉีดระหว่างคิ้วได้อีกด้วย เพื่อทำให้ลดริ้วรอยตามจุดต่างๆได้ดีอีกด้วย
ข้อที่ 3 : สำหรับการทำโบท็อกหางตา
เป็นกระบวนการที่จะช่วยรักษาพวกริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา โดยเป็นการฉีดตัวโบท็อกเข้าไปในจุดที่มีริ้วรอยต่างๆ และให้ เจ้าสารโบท็อกจะเข้าไปช่วยคลายกล้ามเนื้อออกมา จนทำให้ริ้วรอยต่างๆบริเวณนั้น เกิดการลดน้อยลง และตึงกระชับผิวมากขึ้น โดยเฉพาะริ้วรอยเล็กน้อย เช่น
- ช่วยลดรอยย่นบริเวณหางตา
- ช่วยลดรอยตีนกา รอยย่นใต้ตา
- ช่วยยกหางตาในเคสที่มีปัญหาหนังตาตกได้กลับมาสดใสอีกครั้งได้โดยไม่ต้องผ่าตัดอีกด้วย
ข้อที่ 4 : การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกหางตา
ควรตรวจเช็คสภาพความแข็งแรงของร่างกายให้พร้อม งดวิตามินอาหารเสริม งดแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 7 วัน และต้องงดสครับหน้า หรือขัดหน้า พร้อมนอนหลับพักผ่อนเพียงพอขั้นต่ำ 7-8 ชั่วโมง นอกจากนี้สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร จะไม่สามารถฉีดโบท็อกได้โดยเด็ดขาด
ข้อที่ 5 : ข้อควรปฎิบัติระหว่างฉีดโบท็อกหางตา
ไม่ควรเอามือลูบคลำบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ยาดูดซึมน้อยลง มีผลต่อการกระจายตัวของยา และควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ครั้งในทันที และควรขยับกล้ามเนื้อด้วยการยิ้ม ยกหน้าผาก หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นเวลา 30 นาทีเพื่อบริหารกล้ามเนื้อนั่นเอง
ข้อที่ 6 : ข้อระวังหลังการฉีดโบท็อกหางตา
หลังฉีดโบท็อก 3 ชม. ไม่ควรประคบเย็นเพราะจะขัดขวางการดูดซึมโบท็อกซ์และไม่ควรนอนราบหรือก้มศีรษะ รักษาระดับศีรษะให้อยู่สูงกว่าหัวใจอยู่เสมอ และหลังจากฉีดอาจมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นในบางรายหลังฉีด ซึ่งจะหายไปเองในเวลา 10-14 วัน โดยไม่ต้องประคบร้อน และงดการออกกำลงักาย ซาวน่า นวดหน้าด้วยความร้อน ประมาณ 2 สัปดาห์ รวมถึงหลังฉีดโบท็อก 48 ชม. ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารร้อน
ข้อที่ 7 : สำหรับการฉีดโบท็อกควรทำการฉีดอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อที่จะคงสภาพกล้ามเนื้อ และรักษาประสิทธิภาพของการรักษาวิธีนี้ ให้ผิวตึงอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ตลอด โดยควรฉีดทุกๆ 3-4 เดือน และเป็นไปได้ไม่ควรเว้นห่างกันเกิน 6 เดือน เพื่อที่จะรักษาผลลัพธ์ที่ดี แถมยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์สดใสตลอดเวลา หากเป็นการฉีดโบท็อกครั้งแรก กล้ามเนื้อจะมีความแข็งแรงมากอยู่ แนะนำฉีดซ้ำเมื่อครบ 3 เดือน
ข้อที่ 8 : คนที่มีริ้วรอยชัดเจนเมื่อแสดงสีหน้า
หรือพูดทำให้ไม่มั่นใจ การโบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยได้อย่างชัดเจนและปลอดภัยที่สุด หรือใครที่มีปัญหาหางตาเริ่มตกหรือคล้อยลง สามารถฉีดโบท็อกด้วยเทคนิคยกกระชับทำให้ดวงตากลับมาสดใสอีกครั้ง
ข้อที่ 9 : โบท็อกเป็นที่นิยมอย่างมากเรื่องการลดริ้วรอยบริเวณที่ต้องแสดงอาการสีหน้า
เช่น หางตา หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นผ่อนคลาย หลังการฉีดแล้วสามารถแสดงสีหน้าได้ปกติอย่างเป็นธรรมชาติ หากฉีดในปริมาณที่เหมาะสม โบท็อกเป็นสารที่ไม่ตกค้างหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาไม่นาน มีความปลอดภัยสูงสุดหากดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ข้อที่ 10 : การฉีดเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตาและโบท็อกยกหางตา
ปกติแล้วใช้ 50-100 ยูนิตแล้วแต่เคสคนไข้ขึ้นกับกล้ามเนื้อในแต่ละคน แพทย์จะประเมินในแต่ละเคส แนะนำมาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตัวต่อตัวเพื่อรับคำแนะนำได้อย่างตรงจุดที่สุด
ข้อที่ 11 : การเลือกคลินิกทำโบท็อกหางตาให้ปลอดภัย
ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลจดทะเบียนถูกต้องตามกระทรวงสาธารณสุข และมีช่องทางการติดต่อ สาขาที่ตั้งชัดเจน สามารถทำนัดและติดตามผลได้ง่าย เพื่อให้คนไข้เข้ารับบริการได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งต้องดำเนินหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบได้ และใช้โบท็อกของแท้มีมาตรฐานสามารถตรวจสอบได้ ให้ข้อมูลแก่คนไข้อย่างตรงไปตรงมา คนไข้จะเห็นผลิตภัณฑ์ก่อนเปิดใช้ทุกครั้ง
สำหรับใครที่มีปัญหาหนังตาตก คิ้วตก ทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง ไม่สดใส และแก่กว่าวัย ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป เพราะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีด้านบน ยิ่งถ้าไม่ได้มีปัญหาเหล่านี้เยอะมาก การฉีด Botox brow lift ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้แบบไม่ต้องทำการผ่าตัดเลย และใช้เวลาไม่นานก็กลับมาสวยย้อนวัยได้เลยทีเดียว ดังนั้น ลองนำวิธีการลดรอยตีนกาดีดีที่เราทำมาฝากไปใช้กัน เพื่อดูแลตัวเองและชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ด้วยนะคะ