Punprobeauty

10 เคล็ดไม่ลับ วิ่งลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล คนวิ่งแล้วไม่ผอมต้องอ่าน

ในปัจจุบันกระแสการออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองนั้นกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการเข้าฟิตเนส เข้ายิม วิ่งตามสวนสาธารณะต่างๆหรือจะเป็นการออกกำลังกายง่ายๆภายในบ้าน หลายๆคนที่อยากลดน้ำหนักก็จะเริ่มหาวิธีต่างๆในการมาช่วยเสริมในเรื่องของการลดน้ำหนักควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีประโยชน์ หนึ่งในวิธีออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆและไม่ได้ลงทุนไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไรมากมายนั่นก็คือ การวิ่งนั่นเอง การวิ่งจึงกลายเป็นที่นิยมสำหรับคนที่อยากผอม อยากมีสุขภาพที่ดีและคนที่อยากลดน้ำหนัก แต่เอ๊ะแล้วเราต้องวิ่งอย่างไรถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีล่ะ วิ่งแล้วจะช่วยทำให้เราผอมได้จริงๆใช่หรือไม่ เพราะบางคนวิ่งแล้วน้ำหนักไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ มีความคิดที่ว่าวิ่งแล้วไม่เห็นจะผอมเลยจึงเกิดอาการท้อใจแล้วล้มเลิกเป้าหมายที่วางไว้ไปจนได้ แต่รู้หรือไม่ว่าจริงแล้วการวิ่งที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีและส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีวิธีการวิ่งที่ถูกต้องทั้งท่าทาง ลักษณะและความพอดีของการวิ่งกับร่างกายเราไม่ให้หักโหมจนเกินไป วันนี้เราจึงมี 10 เคล็ดไม่ลับ วิ่งลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล คนวิ่งแล้วไม่ผอมต้องอ่านมาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย….   1.วิ่งในความเร็วที่เหมาะสมที่ร่างกายเราจะรับไหว การวิ่งในความเร็วที่เหมาะสมหรือพอเหมาะจะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการวิ่งที่เร็วแล้วได้เหงื่อเยอะเสียอีก ความเร็วจึงต้องเป็นความเร็วที่ไม่ฝืนร่างกายตนเองและไม่เร็วจนเกินไป สามารถหายใจได้สะดวก โดยควรวิ่งติดต่อกันเป็นเวลา 20-30 นาที ดังนั้นการวิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสมจะทำให้วิ่งได้ไกลและวิ่งได้นาน สามารถแปรเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานได้มากกว่าแน่นอน 2.วิ่งสม่ำเสมอเป็นประจำ อย่างเช่นใน 1 สัปดาห์วิ่งอย่างน้อย 3 วันถึง 5 วัน ก็ควรวิ่งเป็นประจำเพื่อการวิ่งที่ยั่งยืนและได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะถ้าวิ่งๆไปและพักหลายๆวันแล้วกลับมาวิ่งต่อนอกจากจะทำให้ร่างกายมีอาการบาดเจ็บได้ยังไม่สามารถได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้ได้ ควรวิ่งสม่ำเสมอเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายได้คุ้นชินและปรับตัวเองได้ดีและสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่งไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้รู้สึกเหนื่อยเกินไปจนท้อ ล้า เบื่อและจะล้มเลิกการวิ่งของตนเองลงไปในที่สุด 3.ควรเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมเพราะเสื้อผ้าก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเผาผลาญไขมันและพลังงานได้ อย่าคิดว่าการใส่เสื้อคลุมหนาๆเพื่อทำให้เหงื่อออกเยอะๆแล้วร่างกายจะเผาผลาญได้มากเพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิดแถมยังส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วยเพราะร่างกายจะขาดน้ำ สูญเสียพลังงานที่จะไปเผาผลาญไขมัน ทำให้น้ำในเลือดลดลงส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำ เลือดที่ไปเลี้ยงกระเพาะอาหารและสมองลดลง ทำให้หน้ามืดปวดศีรษะได้ ดังนั้นเราควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายสะดวกต่อการวิ่งเหมาะสมกับรูปทรงของตัวเราเอง สามารถระบายความร้อนได้ดี ซับเหงื่อได้ดีและแห้งไวเพื่อให้ไม่รู้สึกเหนอะหนะและไม่อึดอัดร่างกายเวลาที่เราวิ่งไปนานๆอีกด้วย 4.ต้องอบอุ่นร่างกายก่อนการวิ่งทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหนก็ตามการอบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

10 ข้อควรรู้ นอนดึกทำให้อ้วน จริงไหม? อยากสุขภาพดี ควรเข้านอนเวลาไหนดี

ในช่วงนี้คนในวัยทำงานคงเริ่มได้กลับไปทำงานที่ออฟฟิตกันบ้างแล้ว หรือวัยรุ่นนักเรียนก็เริ่มกลับไปเรียนที่โรงเรียนกันแล้ว จากที่ปกติทำงานหรือเรียนอยู่ที่บ้านมาตั้งแต่สถานการณ์โควิด 19 แต่พอมาใช้ชีวิตปกติทำให้ต้องกลับมาตื่นเช้ามากขึ้นจากเดิม แต่งานหรือการบ้านที่ได้รับนั้นดันมีเยอะมากมายจนแทบไม่มีเวลานอนนี่ซิ ทำให้ปัจจุบันนี้การที่จะมีวัยรุ่นหรือวัยทำงานนอนตั้งแต่ 2-3 ทุ่มคงมีน้อยลงมากๆหรือแทบจะไม่มีเลย และยังดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเลยด้วยซ้ำ แถมเรื่องที่ต้องจัดการในตอนกลางคืนก็มีเยอะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกไปเที่ยว ทำงานหรือทำการบ้าน พอทำการบ้านเสร็จก็พักผ่อนด้วยการเล่น IG Facebook แม้กระทั่งเช็คไลน์ หาดูซีรี่ย์ที่ตัวเองดองไว้เพื่อเป็นการพักผ่อน หรือไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมต่างๆเพื่อคลายเครียด แทบจะไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนเลยสักที ทั้งหมดนี้จึงล้วนเป็นตัวการที่ทำให้เรานั้นไม่ได้นอนเร็ว แต่ทุกคนเคยรู้และสงสัยหรือไม่ว่าทำไมพอเรานอนน้อยแล้วร่างกายเราดูอวบขึ้นหรือดูอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีก ถ้าทุกคนนั้นยังไม่รู้วันนี้เรามี 10 ข้อควรรู้ นอนดึกทำให้อ้วน จริงไหม? อยากสุขภาพดี ควรเข้านอนเวลาไหนดี ถ้าทุกคนอยากรู้แล้วก็ไปกันเลย…. ทำไมเรานอนดึกและนอนไม่เพียงพอจึงส่งผลให้อ้วนกันนะ? 1.มีฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวของเราในตอนกลางคืนนั้นเกิดอาละวาดคือ ฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) หรือฮอร์โมนหิวจะหลั่งออกมาเพิ่มมากขึ้นและถูกปล่อยในกระเพาะอาหารแล้วส่งสัญญาณไปที่สมองสั่งการว่าหิว จึงทำให้มีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นแบบคูณสอง ส่งผลให้รู้สึกอยากกินอาหารมากขึ้นโดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง อาหารที่มีแคลอรีสูงและขนมหวานที่มีน้ำตาลสูง จึงมีการกินจุกจิกมากขึ้น  ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย 2.ระบบย่อยอาหารของเราทำงานผิดปกติ โดยเมื่อเราทานเข้าไปพอนอนดึกส่งผลให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานผิดปกติและเสียหาย ซึ่งทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารและส่งเป็นพลังงานออกมาใช้ได้ จึงเกิดการสะสมของน้ำตาลและไขมันในช่องท้องหรืออวัยวะภายในช่องท้องเรา ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เรานั้นดูอ้วนขึ้น 3.ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ที่ใช้ในการควบคุมความอิ่ม ถ้านอนไม่เพียงพอร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนเลปตินหรือฮอร์โมนอิ่ม จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ไขมันได้น้อยลง ถ้านอนน้อยการปล่อยฮอร์โมนเลปตินจะมีการรวนทำให้กินไปเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มซักทีจึงทานเรื่อยๆในตอนกลางคืน หิวมากกว่า กินจุกจิก หิวบ่อย […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

7 วิธีแก้คัดจมูก แบบธรรมชาติที่คุณสามารถทำได้เองง่ายๆที่บ้าน

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน รวมไปถึงฝุ่นละอองที่เยอะของบ้านเรา อาจจะทำให้หลายคนเป็นหวัดแถมยังมีอาการคัดจมูกเป็นอาการที่สร้างความรำคาญใจให้หลายๆคนอย่างแน่นอน ซึ่งอาการคัดจมูกจะทำให้เราหายใจไม่ค่อยสะดวก จนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก รู้สึกจมูกตัน และมีน้ำมูกไหล ทำให้รบกวนการทำงาน และบางครั้งเป็นมากถึงขั้นนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิทกันเลยทีเดียวค่ะ ถ้าอาการคัดจมูกเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณขนาดนี้ วันนี้เราก็มีข้อมูลดีๆกับ 7 วิธีแก้คัดจมูก แบบธรรมชาติที่คุณสามารถทำได้เองง่ายๆที่บ้านมาฝาก อาการคัดจมูกคืออะไร?  อาการคัดจมูกนั้นคือภาวะที่เรารู้สึกว่ามีสิ่งอุดตันอยู่ภายในรูจมูกของเรา จนทำให้เรานั้นหายใจได้ไม่สะดวก โดยส่วนมากอาการคัดจมูกนั้นจะเกิดจากการอักเสบและบวมขึ้นของเยื่อบุในทางเดินจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก และอาการคัดจมูกนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีอาการไม่ร้ายแรง แต่อาการคัดจมูกอาจจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่มีอาการได้ ทั้งนี้หากเป็นอาการคัดจมูกที่เกิดขึ้นกับเด็กทารกนั้นจะต้องระวังเป็นอย่างพิเศษเพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการหายใจของทารกหรือการให้นมได้ ซึ่งหลายคนอาจจะเคยมีอาการคัดจมูกหรือรู้สึกคล้ายมีบางสิ่งอุดตันอยู่ภายในจมูกของเรา จนหายใจไม่สะดวกหรือหายใจไม่ออก และบางครั้งก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งอาการคัดจมูกนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของอาการคัดจมูกรวมถึงวิธีบรรเทาอาการคัดจมูกในเบื้องต้นที่อาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของอาการคัดจมูกเหล่านี้ได้ และยังจะช่วยให้คุณนั้นสามารถหาวิธีรับมือกับอาการคัดจมูกได้อย่างดีและเหมาะสมอีกด้วย หลายคนอาจจะมีคำถามว่า อาการคัดจมูกนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ?   อาการคัดจมูกอาจเกิดจากสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เนื้อเยื่อในจมูกนั้นเกิดการอักเสบและระคายเคือง โดยปัจจัยหลักๆที่พบได้บ่อย จะมีดังนี้ การติดเชื้อหวัดหรือการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่ และภาวะไซนัสอักเสบ เป็นต้น โรคภูมิแพ้จมูก หรือไข้ละอองฟาง โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นชนิดที่เกิดจากการแพ้หรือไม่ก็ได้ ริดสีดวงจมูก เกิดจากการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงจมูกหรือโพรงไซนัสที่ผิดปกติ จะมีก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ยื่นออกมากีดขวาง และส่งผลทำให้หายใจไม่สะดวก นอกจากนี้ อาการคัดจมูกยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ต่อมอะดีนอยด์บวม การได้รับบาดเจ็บที่จมูก การสูดดมควันบูหรี่ มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก มีเนื้องอกที่โพรงจมูกหรือภายในจมูก ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์การตั้งครรภ์ ความเครียด โรคหืด รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น  สาเหตุของอาการคัดจมูกอาการคัดจมูกอาจเกิดจากสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้เกิดความระคายเคืองหรืออักเสบที่เนื้อเยื่อในจมูก เช่น การติดเชื้อสารก่อภูมิแพ้ หรือโรคต่าง ๆ มักพบว่าสาเหตุที่ทำให้มีอาการคัดจมูก ได้แก่ การติดเชื้อโรคหวัดและโรคติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น โรคไซนัสอักเสบ  โรคภูมิแพ้  โรคไข้หวัดใหญ่ โรคภูมิแพ้ มักจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา จาม  เป็นต้น ริดสีดวงจมูก เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุภายในจมูกและโพรงจมูก […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

สรุปให้ฟัง ปริมาณแคลอรี่ต่อวัน เท่าไหร่ถึงจะดีและเหมาะสม

เพื่อนๆคนไหนที่กำลังลดน้ำหนักกันอยู่ หรืออาจจะกำลังหาวิธีลดน้ำหนักด้วยการปรับการทานอาหารซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักและการดูแลรูปร่างที่อาจจะต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกาย วันนี้เราขอสรุปให้ฟังว่าปริมาณแคลอรี่ต่อวัน เท่าไหร่ถึงจะดีและเหมาะสมมาบอกต่อกันค่ะ ก่อนอื่นเพื่อนๆเคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมคนที่ดูแลรูปร่างหรือกำลังลดน้ำหนักส่วนมาก ต้องให้ความสำคัญกับปริมาณแคลอรี่ต่อวันมากนัก ถึงขนาดที่จะต้องคำนวณอาหารในแต่ละมื้อที่ทานว่ามีกี่แคลอรี่ และจะต้องกินอาหารกี่แคลอรี่ต่อวันและเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อร่างกาย โดยห้ามขาดและห้ามเกิน นั่นก็เพราะว่าปริมาณแคลอรี่ที่เราทานเข้าไปต่ออาหาร1มื้อนั้น มีความสำคัญอย่างมากกับการดูแลรูปร่าง รวมไปถึงสุขภาพที่ดีของตัวเราด้วย งั้นเรามาทำความรู้จักกับแคลอรี่กันก่อนดีกว่าว่า แคลอรี่คืออะไร ?? แคลอรี่ ( Calories ) คือ หน่วยที่ใช้วัดพลังงานอย่างหนึ่งของอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งก็คือพลังงานที่ได้รับจากการทานอาหารและเครื่องดื่ม มักจะเขียนอยู่บนฉลากของอาหารว่า กิโลแคลอรี่ ( kcal )โดยทั่วไปร่างกายของคนเราจะต้องการแคลอรี่ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างเช่น การเดิน การวิ่งการออกกำลังกาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของเรารับจำนวนแคลอรี่มากกว่าจำนวนที่ร่างกายเผาผลาญออกไปร่างกายของเราก็จะแปรรูปพลังงานเหล่านั้นไปเป็นไขมันส่วนเกินและเก็บสะสมอยู่ตามร่างกายจึงส่งผลให้หลายๆคนที่ทานอาหารเยอะเกินปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการจึงมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง กล่าวคือถ้าหากคุณต้องการที่จะลดน้ำหนักหรือต้องการที่จะดูแลรูปร่างของตัวเอง คุณจะต้องกินอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่น้อยลงกว่าที่ร่างกายของคุณสามารถเผาผลาญได้ในแต่ละวันนั่นเองค่ะ มาถึงตอนนี้หลายคนคงอาจจะอยากทราบแล้วว่า แล้วปริมาณแคลอรี่เท่าไหร่หล่ะถึงดีจะเหมาะสมกับร่างกายของเรา?  โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของคนเราควรจะได้รับพลังงานในแต่ละวันอย่างเพียงพอและเหมาะสม โดยผู้หญิงคือควรได้รับพลังงานจากการทานอาหารและเครื่องดื่มไม่เกินวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ และถ้าคุณผู้หญิงนั้นต้องการที่จะลดน้ำหนัก ควรทานอาหารและเครื่องดื่มทานไม่ให้เกินวันละ 1,500 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้ชายปกติต้องการพลังงานจากการทานอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 2,500  กิโลแคลอรี่ต่อวัน แต่ถ้าหากคุณผู้ชายต้องการที่จะลดน้ำหนักควรเลือกทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีพลังงานประมาณ 2,000  กิโลแคลอรี่ต่อวัน ส่วนเด็กในแต่ละวัยก็จะมีความต้องการปริมาณแคลอรี่ที่แตกต่างกันไป โดยเด็กโตอาจจะต้องการพลังงานเยอะเพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือช่วงวัยรุ่นอาจจะต้องการพลังงานในปริมาณที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับผู้ใหญ่ ดังนั้น ปริมาณพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันนั้นก็จะแตกต่างกันไปตาม เพศ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง อาชีพ และกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน แต่อย่างไรก็ตามสูตรคำนวณต่างๆหรือคำแนะนำส่วนมากจะไม่มีหลักการที่ตายตัว ทางที่ดีที่สุดคือ คุณจะต้องใช้หลายๆสูตร เพื่อดูองค์ประกอบโดยรวมเพื่อที่จะจัดปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง โดยปกติ คือ ร่างกายของคนเราจะใช้พลังงาน 60% จากปริมาณแคลอรี่เพื่อการดำเนินชีวิตขั้นพื้นฐาน แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการเผาผลาญ นั่นก็คือ ปริมาณกล้ามเนื้อที่ร่างกายมี ถ้าปริมาณกล้ามเนื้อมากร่างกายของเราก็จะสามารถเผาผลาญปริมาณแคลอรี่ได้มากเช่นเดียวกัน ส่วนพลังงานที่เหลืออีก 40% ร่างกายของเราจะใช้ไปกับกิจกรรมประจำวันและการขับถ่าย และด้วยกระบวนการดังกล่าว จึงทำให้การคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่กินต่อวันนั้นเป็นประโยชน์ในการรักษาสมดุลย์ของร่างกายและยังสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักช่วยดูแลรูปร่างตัวของเรานั่นเองค่ะ ดังนั้น ตัวเราเองก็สามารถที่จะดูแลรูปร่างหรือเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้ โดยวิธีนับปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน โดยสามารถสังเกตุปริมาณของสารอาหารที่เราได้รับจากอาหารและเครื่องดื่มที่เราทานในแต่ละวันจากฉลากที่ระบุบนผลิตภัณฑ์ของอาหารและเครื่องดื่มที่เราทานต่อวัน โดยสารอาหารแต่ละอย่างมีจำนวนแคลอรี่ในปริมาณ 1 กรัม ดังนี้ คาร์โบไฮเดรต 4 กิโลแคลอรี่  โปรตีน 4 กิโลแคลอรี่  ไขมัน 9 กิโลแคลอรี่  แอลกอฮอล์ 7 กิโลแคลอรี่  ไฟเบอร์ 3 กิโลแคลอรี่  น้ำเปล่า 0 กิโลแคลอรี่  เมื่อทราบปริมาณของสารอาหารแต่ละอย่างแล้ว ให้นำปริมาณกรัมของสารอาหารที่ต้องการคำนวณแคลอรี่ มาคูณกับจำนวนแคลอรี่ในปริมาณ 1 กรัม ของสารอาหารนั้น ๆ ได้เลยค่ะ เช่น ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง ประกอบด้วย ไขมัน 17 กรัม โปรตีน 23 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4 กรัม  เราสามารถนำมาคำนวนได้ดังนี้ -ไขมัน 17 กรัม x 9 กิโลแคลอรี่ = 153 kcal -โปรตีน 23 กรัม x 4 กิโลแคลอรี่ = 92 kcal -คาร์โบไฮเดรต 4 กรัม x 4 กิโลแคลอรี่ = 16 kcal ซึ่งเท่ากับว่าปลากระป๋อง 1 กระป๋องที่เรากินเข้าไปจะให้พลังงานที่ 261 kcal แต่ในความเป็นจริงแต่ละมื้ออาหารของคุณนั้นอาจจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายมากว่าที่เรายกตัวอย่างมาข้างต้น ดังนั้นคุณจึงต้องคำนวณปริมาณสารอาหารอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับอย่างแม่นยำมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามร่างกายของแต่ละคนควรได้รับจำนวนแคลอรี่ที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันแตกต่างกันไป เพื่อให้ได้รับพลังงานที่เพียงพอต่อการนำไปใช้เผาผลาญสำหรับทำกิจกรรมดังกล่าว แต่ถึงแม้คุณจะคำนวณแคลอรี่ในแต่ละมื้ออาหารได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสะดวกที่จะคำนวณในทุกวัน ทุกเวลา ดังนั้นคุณสามารถเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อดูแลรูปร่างและสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองด้วยค่ะ  ที่มา : sirirajonline , theptarinhospital

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

15 มูสกําจัดขน ยี่ห้อไหนดี

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงแล้วนั้นความสวยความงามเป็นสิ่งที่สำคัญมาก่อนเป็นอันดับแรกเลย โดยการที่เราเกิดเป็นผู้หญิงนั้นก็ดูแสนลำบากมากๆในเรื่องของความงามเพราะจะมีอุปสรรคหรือปัญหากวนใจเกี่ยวกับความงามมาขัดขวางความสวยความงามของเราได้ตลอดทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวหน้า ปัญหาเรื่องสิว ปัญหาผิวพรรณ หรือปัญหาที่ดูเป็นปัญหาและเป็นที่น่ากังวลกับผู้หญิงหลายๆคนนั่นก็คือปัญหาเรื่องขนนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นขนตามร่างกาย ขนรักแร้ ขนหนวด ขนขา ขนแขนหรือขนตามจุดซ่อนเร้นต่างๆ เมื่อเรามีขนที่ยาวจนเกินไปอาจจะทำให้ดูไม่ดีและก่อให้เกิดความรำคาญจึงต้องสรรหาวิธีต่างๆมากำจัดขนส่วนที่เราไม่พอใจออกไป ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการใช้แหนบดึงขนออกหรือใช้ใบมีดโกนมาโกนออก ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ผิดเพราะจะทำให้ผิวของเรานั้นเสียหาย เกิดเป็นตอแข็งขึ้นมาแทนได้ แต่ในปัจจุบันวิธียอดฮิตที่สาวๆชอบใช้กันมากที่สุดโดยเฉพาะบริเวณขนรักแร้ นั่นก็คือการใช้ มูสกำจัดขน ครีมกำจัดขนหรือสเปรย์กำจัดขนเพื่อกำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายให้หมดไป ซึ่งเป็นวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวเรามากสักเท่าไหร่ แถมตอนโกนนั้นก็ไม่ค่อยมีความเจ็บอีกด้วย วันนี้เราเลยมีความรู้เกี่ยวกับมูสกำจัดขนมาฝากกัน ทั้งมูสกำจัดขนคืออะไรและเหมาะสำหรับกำจัดขนในส่วนไหนบ้างหรือ 15 มูสกำจัดขนยี่ห้อไหน ที่ใช้งานได้ง่ายและเห็นผลดีเพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อมาฝากกัน ถ้าพร้อมจะเลือกแล้วก็เราไปดูกันดีกว่า แต่ก่อนอื่นที่เราจะไปดูยี่ห้อของมูสกำจัดขน เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่ามูสหรือครีมกำจัดขนคืออะไรและสามารถใช้กับส่วนไหนของร่างกายเราได้บ้าง รวมถึงใครที่เหมาะสมกับการใช้มูสกำจัดขน มูส ครีมหรือสเปรย์กำจัดขนคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กำจัดขนโดยมีส่วนประกอบของสารเคมีชนิดต่างๆ ที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง โดยสารเคมีเมื่อสัมผัสโดนกับเส้นขนจะเข้าไปทำลายเส้นขนให้ขาดออกจากรากขน และหลุดออกมาพร้อมกับครีมกำจัดขนเมื่อเราเช็ดออก มีข้อดีคือไม่ทำให้เราเจ็บตัว หาซื้อได้ง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวเองและไม่ทำร้ายรูขุมขนของเรา แต่ข้อเสียคือไม่สามารถกำจัดขนได้ถาวรอาจจะอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ขนก็จะเริ่มงอกยาวขึ้นมาใหม่ โดยผลิตภัณฑ์กำจัดขนนั้นสามารถใช้ได้ทั้งบริเวณขนรักแร้ ขนหน้าอก ขนแขนและขนขา สามารถใช้ได้กับทุกคนที่ไม่มีอาการแพ้โดยสามารถทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้งานได้โดยการปฏิบัติตามข้างกล่อง ต่อจากนี้เราจะมาแนะนำ 15 มูสกำจัดขนจะมียี่ห้อไหนดีบ้างเราไปดูกันเลย 1. Pansly มูสกำจัดขนที่สามารถใช้ได้ทั้งร่างกาย สามารถใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิงในทุกเพศทุกวัย ตัวมูสมีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิว ใช้งานโดยการฉีดมูสลงไปขนของเราก็จะอ่อนตัวลงสามารถถอนได้ง่าย แถมยังช่วยเพิ่มความขาวอีกด้วย 2. […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

20 ผลไม้แคลน้อย ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน และยังอร่อยมีประโยชน์อื่นๆต่อสุขภาพ

ในช่วงนี้กระแสของการรักสุขภาพเริ่มมาแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนต่างหันมาดูแลตัวเองด้วยวิธีต่างๆหลากหลายวิธี ทั้งการออกกำลังกายและการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ถูกหลักโภชนาการ สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักนั้นการควบคุมปริมาณอาหารอย่างเคร่งครัดนั้นเป็นที่สำคัญที่สุดสำหรับการเริ่มต้นลดน้ำหนักควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่มีคุณภาพ โดยแคลอรีนั้นคือ ปริมาณพลังงานแคลอรีของอาหารที่เราต้องทานในแต่ละวันนั้นและเป็นสิ่งที่เราควรควบคุมให้ได้ แคลอรีนั้นมีอยู่ในอาหารทุกๆชนิดแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของอาหาร เช่น ข้าวขาหมูให้ปริมาณแคลอรีมากกว่าข้าวหน้าเป็ด เป็นต้น ในผลไม้ชนิดต่างๆก็เช่นกัน ผลไม้ต่างชนิดก็ให้ปริมาณแคลอรีที่แตกต่างกัน เราจึงควรเลือกทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วนตามปริมาณของพลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวัน สำหรับสาวๆหรือใครที่ชอบทานผลไม้แต่ไม่รู้ว่าผลไม้อะไรให้แคลอรีเท่าไหร่กันนะ? แล้วผลไม้ชนิดไหนที่มีแคลอรีน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนบ้างแถมให้ประโยชน์อื่นๆอีกมากมายเพื่อใช้ในการเลือกทานได้ ดังนั้นวันนี้เรามี 20 ผลไม้แคลน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนแถมให้ประโยชน์อื่นๆต่อสุภาพมาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย… ชนิดที่ 1 : แตงโม ปริมาณ 100 กรัมให้ปริมาณพลังงานแคลอรี 25 กิโลแคลอรี เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับใครที่ต้องการลดความอ้วนเพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ ให้แคลอรีน้อย มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว บำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรง และยังมีไลโคปีน ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ด้วย ชนิดที่ 2 : มะละกอ ปริมาณ 100 กรัมให้ปริมาณพลังงานแคลอรี 13 กิโลแคลอรี เป็นผลไม้ที่ให้ปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แถมยังเด่นในเรื่องช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ต้านมะเร็งและยังบำรุงหัวใจ เป็นผลไม้ที่ประโยชน์มากมายไม่ทานไม่ได้แล้ว […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

นอนเยอะเกินไป มีความเสี่ยง และผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ช่วงการ Work from home ที่ในสถานการณ์ล็อคดาวน์โควิด 19 ที่ผ่านมา ทุกๆคนคงไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเพื่อเป็นการดูแลตัวเอง ทำให้นอกจากจะอยุ่แต่ภายในบ้านแล้วการทำกิจกรรมต่างๆก็คงทำแค่ภายในบ้านเช่นกัน อีกหนึ่งกิจกรรมที่คงเลี่ยงไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ…การนอนนั่นเอง ทำงานเหนื่อยๆเพลียๆก็นอน เครียดก็นอน หรือว่างมากๆแล้วไม่มีอะไรทำเพราะไม่สามารถออกไปเที่ยวหรือไปข้างนอกมากไม่ได้ก็คงทำได้แค่นอน แล้วคุณรู้ไหมว่านอนเยอะเกินไป มีความเสี่ยง และผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง จริงๆแล้วการนอนพักผ่อนให้เพียงพอนั้นเป็นเรื่องที่ดีและควรปฏิบัติให้เป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง แต่รู้หรือไม่ว่า การนอนพักผ่อนที่ไม่เพียงพอไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนน้อยเกินไปหรือการนอนที่มากเกินไปนั้นก็ส่งเสียต่อสุขภาพได้มากมายเช่นกัน แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักถึงการนอนพักผ่อนที่มากเกินไป (Hypersomnia) หรือที่เรียกว่า โรคขี้เซา ทั้งการพักผ่อนมากเกินไป นอนเท่าไหร่ก็ยังไม่เพียงพอ หรือแม้กระทั่งต้องการนอนในระหว่างวันวันละหลายๆครั้ง  โดยจะส่งผลเสียต่อร่างกายเราได้มากมายเช่นกัน เช่น ดูเฉื่อยชา ทำให้อ้วน ทำลายสมองให้ความจำเสื่อมได้ ฯลฯ นอกจากนี้ผลเสียที่เกิดขึ้นยังมีอีกมากมาย จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย….. ก่อนจะเข้าไปถึงผลเสียจากการนอนที่มากเกินไปนั้นเรามารู้ก่อนว่าจริงๆแล้วปกติคนเรานั้นจะมีจำนวนชั่วโมงในการพักผ่อนที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัย เด็กทารกต้องมีการนอนตอนกลางวันโดยรวมแล้ว 12-16 ชั่วโมงต่อวัน เด็กอนุบาลก็มีการนอนตอนกลางวันโดยรวมแล้ว 10-12 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนวัยรุ่นต้องมีการนอนหลับโดยประมาณ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน และผู้ใหญ่ต้องมีการนอนหลับโดยประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ก็คือสัญญาณเตือนว่าคุณเป็นบุคคลที่มีการนอนมากเกินไปแล้วนะ นั่นคือ ขี้เซาตื่นนอนยาก นอนเท่าไหร่ก็ไม่พออ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา ในหนึ่งวันอยากนอนวันละหลายๆครั้ง ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่าย วิตกกังวล […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

10 ท่านั่งทำงาน เพื่อสุขภาพ สำหรับสาวๆ ออฟฟิศวัยทำงาน

สำหรับสาวๆที่เป็นสาวออฟฟิต คงจะกังวลใจเวลานั่งทำงานแล้วรู้สึกไม่สบายตัวใช่ไหมล่ะคะ แถมกังวลใจว่าจะเป็นออฟฟิศซินโดรมไหม ท่าที่เรานั่งมันถูกต้องไหม นั่งแบบนี้แล้วทำไมปวดหลังจัง นั่นอาจจะเกิดจากการที่สาวๆนั่งไม่ถูกท่า และเสี่ยงที่จะเป็นออฟฟิศซินโดรม แถมยังไม่สวยและไม่สบายตัวอีกด้วย วันนี้เราจึงมี 10 ท่านั่งทำงานเพื่อสุขภาพ สำหรับสาวๆ ออฟฟิศวัยทำงาน มาให้สาวๆได้ดูกันค่ะ เมื่ออ่านจบแล้ว!! ต่อไปนี้สาวๆจะไม่ต้องกังวลว่านั่งแบบนี้เสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรมไหม เพราะเรามีท่านั่งที่ถูกต้องมาแนะนำให้แล้วค่ะ 1.นั่งให้ศีรษะตั้งตรง การนั่งให้ศีรษะตั้งตรง นั่นคือไม่ยื่นไปข้างหน้า หรือข้างหลังมากเกินไป ควรจะอยู่ในระดับพอดีกับโต๊ะที่เราทำงาน เพราะหากศีรษะต่ำเกินไป อาจต้องแชร์กล้ามเนื้อคอมากกว่าปกติ จนทำให้ต้นคอของเหล่านั้น มีอาการปวดเมื่อย และเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรมได้ค่ะ โดยการที่สาวๆนั่งก้มมองจอคอมพิวเตอร์ หรือมองโทรศัพท์มือถือ จะทำให้แนวกระดูกสันหลังงอ ทำให้คอหนักมากขึ้น ส่งผลให้ปวดคอและบริเวณหลังส่วนบน อาจจะทำให้กระดูกคอเคลื่อนตามมาก็ได้ค่ะ ดังนั้น การนั่งที่ดีสาวๆควรนั่งศีรษะตรง ไม่ก้มหรือเงยจนมากเกินไป เพียงแค่นี้ก็จะทำให้ไม่ปวดคอกันนะคะ 2.นั่งหลังตรงพิงพนัก สาวๆควรนั่งหลังตรงพิงพนัก ไม่ควรโน้มตัวมาข้างหน้าหรือข้างหลังมากเกินไป ซึ่งการนั่งพิงพนักของเก้าอี้ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้สาวๆหลังตรงได้ค่ะ เพราะพนักพิงของเก้าอี้ จะมีมุมอยู่ที่ประมาณ 90 – 100 องศา ที่สามารถรองรับกับหลังของเราได้ดี และเพื่อเป็นการลดการกดทับของหมอนรองกระดูกสันหลัง สาวๆควรหาเบาะมาเสริมในการนั่ง ก็จะช่วยให้สาวๆลดการปวดหลังลงได้ แถมยังเฟดลดอาการออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย อย่าลืมนะคะ ! […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

10 ลักษณะ โหงวเฮ้งตาผู้หญิง แต่ละแบบมีความหมายอย่างไร และส่งผลอะไรบ้าง

เคยได้ยินกันไหมคะว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ หรือแค่มองตาก็รู้ใจ และอีกหลายๆประโยคเกี่ยวกับดวงตาที่คนส่วนมากชอบพูดกัน เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นจุดโฟกัสจุดหนึ่งบนใบหน้า ซึ่งดวงตาของแต่ละคนก็จะมีลักษณะแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะ ตาโต ตาตี่ ตาหวาน ตาเฉี่ยว เป็นต้น และในปัจจุบันสาวๆหลายๆท่านก็ชอบที่จะไปศัลยกรรมดวงตาให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันคลินิกศัลยกรรมบางที่ ก็จะมีการดูโหวงเฮ้งตาที่ดีให้ด้วยว่าควรทำตารูปแบบไหนถึงจะเสริมโหวงเฮ้งให้กับผู้ที่ทำ เพราะนอกจากจะได้ตาที่สวยก็ยังได้โหวงเฮ้งที่ดีติดมาด้วยนะคะ และวันนี้เราจะมาแนะนำ 10 ลักษณะ โหงวเฮ้งตาผู้หญิง แต่ละแบบมีความหมายอย่างไร และส่งผลอะไรบ้าง  ให้สาวๆได้ตัดสินใจกันค่ะ  ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า “โหวงเฮ้ง. กันก่อนว่าคืออะไร !? โหงวเฮ้ง ( 五行 ) คือ ศาสตร์ของการทำนายคุณสมบัติคนจากรูปลักษณ์ภายนอก 5 จุดบนใบหน้า ได้แก่ โหงวเฮ้งหน้าผากและขมับ โหงวเฮ้งคิ้ว โหงวเฮ้งตา โหงวเฮ้งจมูก และโหงวเฮ้งปาก ซึ่งการดูโหวงเฮ้งนั้นเป็นศาสตร์ชั้นสูงของชาวจีนมาตั้งแต่โบราณ สามารถใช้พยากรณ์ในเรื่องของความเจริญรุ่งเรืองความสำเร็จในชีวิตของบุคคลนั้นๆ โดยที่คนส่วนมากมักจะมีความเชื่อว่าศาสตร์โหงวเฮ้งนั้นสามารถแก้ไขปัญหาคนดวงตกตั้งแต่เกิดได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าโหงวเฮ้งนั้น เป็นศาสตร์ที่สามารถใช้ในการทำนายชีวิต เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตหรือจะส่งเสริมชีวิตสำหรับผู้ที่มีโหวงเฮ้งที่ไม่ดีหรือผู้ที่ต้องการการประสบความสำเร็จและมั่งคั่งในชีวิตนั่นเอง  และวันนี้เราก็เลือกมาหนึ่งจุดโหวงเฮ้งบนใบหน้า นั่นก็คือ โหวงเฮ้งตา ซึ่งโหวงเฮงตานั้นจะใช้ทำนาย เรื่องความคิดสติปัญญา โหวงเฮ้งตาสามารถจะบ่งบอกถึงความคิดและสติปัญญา รวมถึงการแก้ไขปัญหาและความรู้สึกนึกคิดต่างๆของเจ้าของดวงตานั้นได้ และสามารถมองถึงเรื่องสุขภาพ การเงิน และความรัก ไปจนถึงความเศร้าหมองในชีวิตได้ด้วย โดยส่วนมากพบว่าคนที่มีแววตาเปล่งประกายสดใส เป็นคนที่วาสนาดี สติปัญญาดี ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ เพราะรูปตาที่สวยสดใส จะไม่ทำให้รู้สึกถึงความง่วงซึม แต่จะมีพลังงานด้านบวกที่ทำให้เจ้าของดวงตาดูมีพลังและมีวาสนาดีอีกด้วย งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า 10 ลักษณะ โหวงเฮ้งตาของสาวๆ แต่ละแบบมีความหมายอย่างไรกันบ้าง  1. ตากลมโต ผู้หญิงที่มีดวงตากลมโต ผู้หญิงที่ตากลมโตนั้นมักเป็นคนที่มีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม และค่อนข้างรักง่ายแต่ก็เบื่อเร็วเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และอดทน นอกจากนี้พวกเทอยังเข้าสังคมเก่งและเป็นที่รักของทุกคน ผู้หญิงที่ดวงตากลมโตนั้นจะเหมาะกับงานในด้านติดต่อประสานงานเจอผู้คนหลากหลาย ไม่เหมาะกับงานที่ซ้ำซากจำเจและเธอยังเป็นคนรักในเรื่องความสวยความงามเป็นที่สุดด้วยค่ะ 2.ตาเล็กหรือตาหยี ผู้หญิงที่มีตาเล็กหรือตาหยีนั้นจะเป็นคนไม่กล้าแสดงออกและมักจะเป็นคนขี้อาย รวมถึงเป็นคนที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาดในหลายๆเรื่อง แต่พวกเธอที่มีตาเล็กหรือตาหยีนั้นก็มีข้อดีนะคะ คือเธอจะเป็นคนที่ใช้จ่ายรอบครอบ ผู้หญิงตาเล็กจะเหมาะกับงานด้านวางแผนเป็นที่สุดค่ะ 3.ตาลึก  ผู้หญิงที่มีตาลึกนั้นส่วนมากจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งและเป็นคนที่รักตัวเองมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นคนขี้อายมากๆอีกด้วย 4.ตาโปน ผู้หญิงที่มีตาโปนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนใจร้อน และขาดความละเอียดรอบครอบในการใช้ชีวิต แถมยังเป็นคนที่มักจะเก็บความลับไม่อยู่เรียกได้ว่าพวกเทอรู้โลกรับรู้เลยทีเดียว และมีวิถีชีวิตค่อนข้างลำบาก อีกทั้งผู้หญิงที่มีตาโปนยังถือว่าตนเองเป็นใหญ่ในเรื่องของความรักและมักจะไม่สมหวังในความรักอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้อดีของผู้หญิงตาโปนคือพวกเทอนั้นสามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายและยังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีค่ะ 5.ตาชิด ผู้หญิงที่มีตาชิดส่วนมากมักจะเป็นคนใจร้อนและชอบเก็บตัวค่อนข้างรักสันโดษ มีโลกส่วนตัวสูงแถมยังไม่สนใจสิ่งรอบตัว ผู้หญิงที่มีตาชิดนั้นจะไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไหร่แต่พวกเทอนั้นก็ไม่พึ่งพาใครเหมือนกัน 6.ตาห่าง ผู้หญิงที่มีตาห่างนั้นมักจะเป็นคนที่มีสติปัญญาดีฉลาดเฉียบแหลม แถมชอบและการในเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา แต่พวกเธอนั้นจะไม่ชอบความจำเจ และเป็นคนเหตุผลในทุกๆเรื่อง อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่สุภาพอ่อนโยนพร้อมทั้งมีเสน่ห์และมีมนุษยสัมพันธ์ดีใครที่อยู่ใหล้ผู้หญิงตาห่างนั้นจะต้องตกหลุมรักและชอบพวกเธอเป็นอย่างแน่ 7.ตาสองข้างเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ผู้หญิงที่มีตาทั้ง 2 ข้างเล็กใหญ่ไม่เท่ากันนั้น ในตอนวัยเด็กมักจะไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวเท่าที่ควร และเมื่อโตขึ้นถ้ามีคู่ครองก็จะไม่ค่อยที่ไม่ค่อยสมหวังเท่าไหร่นัก แต่ถ้าผู้หญิงที่ตาสองข้างเล็กใหญ่ไม่เท่ากันนั้นมีตาดำที่มีประกายสดใสรวมถึงตาขาวยังไร้ตำหนิก็จะยิ่งใหญ่และร่ำรวยเงินทองเป็นอย่างมาก แต่ถ้าตามีตำหนิในตา เช่น ตามีเส้นเลือด ตาคล้ายกับคนเศร้า หรือตาเป็นต้อ เป็นต้น กรณีนี้ถ้าผู้หญิงที่ตาสองข้างเล็กใหญ่ไม่เท่ากันมีตาขวาใหญ่กว่าส่วนมากผู้หญิงพวกนั้นจะเก่งกว่าสามี แต่ถ้าตาขวาเล็กกว่าพวกเธอก็จะกลัวสามีเป็นที่สุดค่ะ  8.ตาเข หรือ ตาเหล่  ผู้หญิงที่มีตาเขหรือตาเหล่นั้นมักจะเป็นคนที่เสียเปรียบคนได้ง่าย แถมยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีสุดๆ และยังเป็นคนกล้าๆกลัวๆขี้ขลาดในหลายๆเหตุการณ์ แต่พวกเธอนั้นมักจะชอบทำเป็นเก่งอยู่เสมอเพื่อกลบความขี้กลัวหรือขี้ขลาดในตัวเธอนั่นเอง 9.ตาขาว หรือ ตาลอย ผู้หญิงที่มีตาขาวหรือตาลอยนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของพวกเธอสักเท่าไหร่ อีกทั้งพวกเธอนั้นเป็นคนไม่ยอมคนประเภทที่ว่าถ้าฉันเจ็บเธอก็ต้องเจ็บแบบนั้นเลยค่ะ และชอบคิดว่าตัวเองมีปมด้อยอยู่เสมอ ผู้หญิงที่ตาขาวหรือตาลอยนั้นส่วนมากจะเป็นคนใจร้ายและอาจจะมีคดีถึงกับขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่บ้าง หรืออาจจะประสบอุบัติเหตุรุนแรง ถูกฆาตกรรม หรืออาจจะโดนลอบทำร้ายอีกด้วย 10.ตาคล้ายคนเมา หรือคนง่วงนอน ผู้หญิงที่มีตาคล้ายคนเมาหรือคนง่วงนอนนั้นมักจะเป็นคนที่เจ้าชู้มากๆเรียกได้ว่าเจ้าชู้ระดับเซียนเลยก็ว่าได้ และพวกเธอนั้นมักจะไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกของคนรักสักเท่าไหร่ แถมเป็นคนรักง่ายและก็เบื่อเร็วไม่มีความรับผิดชอบต่อคู่ครองหรือคู่สมรส อีกทั้งผู้หญิงที่มีตาคล้ายคนเมาหรือคนง่วงนอนนั้นยังชอบเสียเงินเสียทองไปกับอบายมุขเพื่อความสุขของตนเองโดยไม่สนใจคนอื่นอีกด้วย เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 10 ลักษณะ โหงวเฮ้งตาผู้หญิง แต่ละแบบมีความหมายอย่างไร และส่งผลอะไรบ้าง ที่เรานำมาฝากกัน ตอนนี้สาวๆหลายคนคงจะรู้ความหมายของดวงตาของตัวเองกันบ้างแล้ว และเชื่อว่าสาวๆหลายคนอาจจะมีดวงตาที่ชอบอยู่ในใจอยู่แล้วบ้าง ดังนั้นบทความนี้อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับสาวๆที่คิดอยากจะทำศัลยกรรมตา หรือปรับแก้ไขดวงตาให้สวยงามมากยิ่งขึ้นกันนะคะ แต่สำคัญที่สุด!! ดวงตาอาจจะไม่ใช่ตัวชี้ชะตาชีวิตของตัวเราในทุกๆเรื่องนะคะ แต่ตัวเราและการกระทำของเราต่างหากที่จะปรับปรุงชีวิตของเราได้อย่างดีที่สุดค่ะ ที่มา : thecloverskinclinic.com

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022

10 ท่านอนแก้ปวดหลัง ปวดหัวไหล่ ปวดต้นคอ จากออฟฟิตซินโดม

เมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ทั้งวัยเรียนและวัยทำงานต่างต้องกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติกันแล้ว พนักงานออฟฟิตก็ต้องกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานประจำ เพื่อนั่งทำงานอย่างหลังคดหลังแข็ง นักเรียนนักศึกษาก็ต้องกลับไปนั่งเรียนที่ห้องเรียน ทำให้เมื่อมีการนั่งทำกิจกรรมต่างๆที่โต๊ะมากเกินไป โหมงานที่ทำมากเกินไปหรือมีท่าทางในการทำงานที่ผิดทั้งการวางมือ ศอก และท่านั่ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจจะส่งผลให้มีอาการปวดหลัง ปวดคอ หรือปวดตามกล้ามเนื้อต่างๆ อาการเหล่านี้จึงนำมาสู่โรคที่เรียกว่า “ออฟฟิตซินโดรม” โดยโรคนี้นั้นส่วนมากเกิดขึ้นได้ในวัยทำงาน ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้นั้นเป็นโรคที่คนในสมัยนี้เป็นกันได้ง่ายมากๆ เนื่องจากพฤติกรรมการทำงานของคนในสมัยนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป วันนี้เราจึงมี 10 ท่านอนแก้ปวดหลัง ปวดหัวไหล่ ปวดต้นคอ จากออฟฟิตซินโดมมาฝากกัน ใครที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ ตามไปดูกันได้เลยค่ะ แต่ก่อนอื่นก่อนที่เราจะเริ่มไปดูวิธีแก้ปัญหานั้นเราต้องรู้ก่อนว่า ออฟฟิตซินโดรมคืออะไรแล้วสาเหตุต่างๆที่ทำให้เกิดโรคนี้นั้นเกิดได้อย่างไร ออฟฟิตซินโดรมคืออาการที่ปวดเมื่อยตามร่างกายทั้งคอ บ่า ไหล่ สะบัก และบริเวณหลัง ซึ่งถ้าเกิดมีอาการปวดมากสะสมไปเรื่อยๆจะกลายเป็นออฟฟิตซินโดรมที่เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมถึงการปวดและชาจากอาการอักเสบเนื้อเยื่อและเอ็น โดยอาการเหล่านี้เกิดได้บ่อยในวัยทำงานที่ต้องมีการนั่งทำงานในออฟฟิตและมีการนั่งทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์และมือถือเป็นประจำ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังปวดไหล่ หรือปวดต้นคอเกิดจากการนั่งผิดท่า ผิดรูปแบบการนั่งหรือลักษณะที่ถูกต้อง การก้มนานหรือเร็วเกินไป การยกของที่หนักเกินตัวหรือความสามารถเรา การยืนหรือการก้มทีนานเกินไป การปวดหลังอาจส่งผลเสียถึงอนาคต โดยออฟฟิตซินโดรมมักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมๆนานๆมากจนเกินไป เช่นการนั่งก้มหน้านานจนเกินไป นั่งตัวงอ หรือนั่งไขว่ห้างมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อถูกใช้งานซ้ำๆจนมีการยืดหดและเกร็ง จนส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บ โดยอาจจะเริ่มปวดตึงจากจุดแรกแล้วร้าวลามไปตามจุดต่างๆเพิ่มขึ้นเป็นบริเวณกว้างขึ้นได้ วันนี้เราจึงมี สิบท่า นอนแก้ปวดหลัง สำหรับใคร ที่กำลังเจอปัญหาโรคออฟฟิตซินโดรมนี้เหมือนกัน ลองไปดูท่านอนที่เราแนะนำกัน […]

นิชาภัทร จิ้มลิ้มเลิศ

January 4, 2022
1 8 9 10 11